วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

แทร็ก 5/31


พระอาจารย์
5/31 (541129B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
29  พฤศจิกายน 2554


พระอาจารย์ –  การที่มีสติระลึกรู้แต่ละครั้งนี่ เป็นการฝึก...ฝึกให้เกิดสัมมาสติ

ทำไมถึงเรียกว่าสัมมาสติ ...ถ้าเป็นสติที่เรียกว่าเป็นสัมมาสติ คือเป็นสติที่ย้อนกลับมาที่ใจ ...ถ้าเป็นสติที่มุ่งออกไปนอกใจนั้น เรียกว่าไม่ใช่สัมมาสติโดยตรง

ถ้าเป็นสติที่จะระลึกอยู่กับพุทโธ สติที่ไประลึกอยู่กับลมหายใจ สติที่ไประลึกอยู่กับคำบริกรรมต่างๆ นานา หรือไปเรียนรู้เพ่งอยู่ที่กาย หรือที่ไหนก็ตามที่นอกจากใจ ก็ยังไม่เรียกว่าเป็นปัจจัยให้เกิดสัมมาสติ

แต่เมื่อใดที่สตินั้น บุคคลนั้น เจริญสติเพื่อให้เห็นใจปรากฏขึ้น มีใจรู้ มีใจเห็นปรากฏขึ้นอยู่ ณ ขณะปัจจุบันนั้นๆ นั่นเรียกว่าเป็นปัจจัยให้ก่อเกิดสัมมาสติ...เป็นเป้าหมายที่แท้จริง

ก็ไม่ได้อะไรหรอก...ได้แต่ใจดวงเดียวนั่นแหละ คือใจรู้ใจเห็นมันเด่นชัดขึ้น

เพราะนั้น เมื่อมีการเจริญสติ แล้วมีการหยั่งลงไปที่รู้ที่เห็น หรือว่าสังเกตตรวจสอบอยู่ที่รู้ที่เห็น ด้วยความแยบคายในของสองสิ่ง คือสิ่งที่ถูกรู้และรู้และเห็น มันเป็นการชำระใจไปในตัวของมัน

ใจนี่มันเหมือนความบริสุทธิ์ คือความบริสุทธิ์ ไม่มีอะไรบริสุทธิ์กว่าใจ ...มันมีความบริสุทธิ์ที่คงที่ของมัน หมายความว่าจะทำให้บริสุทธิ์กว่านี้ก็ไม่ได้ จะทำให้มันไม่บริสุทธิ์ก็ไม่ได้

เนี่ยคือสภาวธรรมที่เรียกว่าใจ จะทำให้มันเศร้าหมองก็ไม่ได้ จะทำให้ขุ่นมัวก็ไม่ได้ ...เพราะนั้นในใจจริงๆ แล้วมันไม่มีอะไรเจือปนได้

แต่ไอ้ที่ว่าขุ่น ไอ้ที่ว่าหมอง ไอ้ที่ว่าเศร้านั่นคือสิ่งที่มันห่อหุ้มใจดวงนั้นไว้ คือความไม่รู้ต่างๆ นานา กิเลสอาสวะหมักหมม มันก็ปนเปื้อน แปดเปื้อน

เหมือนเพชรนี่ มันมีความใสในตัวของมันเอง  เหมือนดวงแก้วอย่างนี้ แก้วเจียระไน มันใส มันใสโดยธรรมชาติของมันอยู่แล้ว จะไปทำให้มันใสกว่าเดิมก็ไม่ได้หรอก มันก็ใสของมันอยู่อย่างนั้นน่ะ

แต่คราวนี้ว่า ถ้ามันมีโคลนมีตมมาห่อหุ้ม มันก็ไม่เห็นว่ามันใส ...นี่ ใจมนุษย์มันอยู่ตรงนั้นน่ะ มันอยู่ตรงที่อะไรห่อหุ้มอยู่เต็มไปหมด ปกปิด ปิดบัง ครอบคลุม

แล้วขุดค้นกันไม่เจอ กลับไปขุดที่อื่น ไปหาที่อื่น ไปหาทรัพย์สมบัติสุดขอบฟ้า ตามล่าหามรรคผลนิพพาน ตามล่าหาธรรม เป็นผู้กระหายธรรม

มันก็หาไปเรื่อยน่ะ ...ทั้งๆ ที่ว่า มันอยู่ตรงนี้ มันอยู่ในนี้แหละ ...เบื้องต้นก็เรียกว่าถือว่ามันอยู่ภายในกายใจนี้ก่อน ในกายนี้ก่อน

เมื่อมันถูกห่อหุ้มรวมตัวกันนี่ มันก็เหมือนกับถูกบล็อกไว้ให้เป็นก้อนอยู่ภายใน ...ความไม่รู้นี่มันไปห่อไว้ ดูเหมือนไปรวมมวลของใจไว้ เป็นก้อนอยู่ภายในขันธ์

อาศัยพลังของสติสมาธิปัญญา รู้แต่ละครั้งนี่ ยืนรู้ นั่งรู้ เดินรู้คิดรู้ กังวลรู้ เครียดรู้ สุขรู้ทุกข์รู้ กิเลสเกิดรู้ โกรธรู้ หลงรู้ ...รู้แต่ละครั้งนี่ มันไปสะกิดไอ้ที่หุ้มไว้นี่ด้วยอำนาจของโมหะตัณหานี่ ให้มันเปิดขึ้น

เหมือนเอามือไปสะกิดเอาขี้โคลนออกจากแก้วจากเพชร...มันก็จะเห็นว่า อ๋อ มีแสงสว่าง มีใสอยู่ข้างใน มีใสขึ้นมา ...เพราะนั้นรู้แต่ละครั้งนั่นแหละคือการชำระใจ

ไอ้ที่ว่ารู้ๆ มันก็คือสว่างน่ะ สว่างรู้สว่างเห็นออกมานั่นแหละ แต่มันยังไม่ใช่ใจทั้งดวง ...เห็นแค่สว่างแค่นี้ก็ดีถมเถแล้ว ไม่ใช่มืดตึ้บ มืดบอด ทำไปอยู่ไปด้วยความหลงเผลอเพลิน นี่มืดบอด

ใจไม่อยู่ ใจไม่เห็น ใจอยู่ไหนก็ไม่รู้ หาก็ไม่เจอ เถียงอีกว่าไม่มี ใจอยู่ตรงนั้น ใจอยู่ตรงนี้ นี่ว่าไป ...แล้วก็ไปทำขึ้นมาอีกดวงนึง หลายดวงมั่ง สว่างมั่ง เป็นแก้วมั่ง เป็นพระพุทธรูปมั่ง

นั่นไม่ใช่ใจ ...ใจอยู่นี่ อยู่ที่รู้นี่ รู้นั่นแหละคือแสงสว่าง ...ทำไมพระพุทธเจ้าถึงบอกว่า นัตถิ ปัญญา สมาอาภา สว่างเสมอใดไม่เท่าปัญญา

เห็นมั้ย ทำไมถึงเรียกว่าความสว่างคือปัญญา ...คือใจมันสว่างออกมา นี่ๆๆๆ สว่างออกมามันเห็นน่ะ แสงที่มันเปิดขึ้นนี่ มันเห็นน่ะ มันไม่มืด มันสว่างมันก็เห็นน่ะ

เห็นอะไร ...เห็นขันธ์ เห็นอัตตา เห็นอัตตาธรรม เห็นว่าเป็นเรารึเปล่า หรือว่าเห็นว่าไม่เป็นของเรา ...นี่ มันเห็นตามความเป็นจริงน่ะ ก็ต้องอาศัยรู้อันนี้ที่มันเปิดออกมานี่เห็น...เห็นขันธ์

ด้วยใจที่เป็นกลาง ด้วยความเป็นกลาง โดยมรรค ไม่เลือก  แล้วก็อดทนตั้งมั่น ไม่ดันไม่ดึง ไม่ผลักไม่ไส ไม่แก้ไม่หนี ...ก็จะเห็นว่า อ้อ มันเป็นอย่างนี้ๆ

มีความดับ มีความเกิดมีความดับ มีความตั้งอยู่...โดยที่ไม่มีใครบังคับ ควบคุม มันเป็นไปของมันเองน่ะ ...นี่แสงสว่างแห่งใจดวงนี้มันเห็น แค่นี้เรียกว่าปัญญาแล้ว

ไม่ใช่รู้มากมายก่ายกอง ไอ้นั่นไอ้นี่ ไปรู้คนนั้น ไปรู้อดีตอนาคตของคนนั้นคนนี้ ไปรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าล่วงหลัง ไปรู้ชาติก่อนเกิดเป็นอะไร ไปรู้เหตุการณ์ของโลกข้างหน้าข้างหลัง

มันไม่ใช่ความรู้ที่แท้จริงที่พระพุทธเจ้าต้องการ ...บำเพ็ญเพียรมา ๔ อสงไขย แสนมหากัป ไม่ได้สอนมาให้รู้เห็นเรื่องไร้สาระ ไม่มีประโยชน์ในการที่จะทำให้การเกิดดับนั้นสั้นลง

หรือการเกิดใหม่ตายใหม่น้อยลง มีแต่ยาวออกไป...ด้วยความถือเนื้อถือตัว ด้วยความยึดมั่นถือมั่นในอัตตาธรรม หรือธรรมที่มันได้ขึ้นมา เห็นขึ้นมา

มันก็ถือเอาธรรมที่ปรากฏขึ้นมาว่าเป็นของกู แล้วเอาอัตตานั้นแหละ...ไปข่ม ไปเหนือ ไปต่ำ ไปเปรียบ ไปเทียบกับผู้อื่น

เราถึงบอกว่าคนภาวนานี่ เก่งน่ะเยอะ แต่ดีนะน้อย ...เก่งกันทั้งนั้นน่ะ เก่ง แต่มันไม่ค่อยดี ...ไม่ดีเพราะมันไม่ตรง ไม่ตรงต่อธรรม ไม่ตรงต่อความเป็นจริง

ไม่ตรงที่จะเข้ามาค้นหาความเป็นจริง...ในกายใจนี้คืออะไร ในอัตตาตัวตนนี้คืออะไรคือใคร ...เพราะอะไร เพราะไม่มีฐานที่ตั้งแห่งใจ เพราะไม่อยู่ที่ใจ เพราะไม่เอาใจออกไปรู้ไปเห็น

สติน่ะไม่ได้มีเพื่อการใดหรอก...เพื่อให้รู้ในปัจจุบัน ...อะไรๆ ที่ปรากฏในปัจจุบันนั่นแหละคืออัตตา คือขันธ์ที่มันก่อเกิดแล้วตั้งอยู่ ไม่ว่าจะเรียกว่านามธรรม ไม่ว่าจะเรียกว่าสมมุติบัญญัติว่ารูปธรรม

ไม่ว่าจะเรียกว่านี่เป็นเสียง นี่เป็นกลิ่น นี่เป็นรส...ทั้งหมดน่ะ ที่มันปรากฏในปัจจุบัน มันคือการก่อเกิดขึ้นมาของอัตตาหนึ่งๆ ใจมันถึงเห็นรับรู้รับทราบได้

พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า ต้องอยู่กับปัจจุบัน เห็นอยู่กับปัจจุบัน รู้กับปัจจุบัน ...เพื่ออะไร ...เพื่อให้เห็นว่าปัจจุบันนี่คืออะไร เป็นใคร เที่ยงมั้ย มีตัวตนที่แท้จริงของมันมั้ย ตัวตนที่แท้จริงของมันดำรงอยู่ได้มั้ย

นี่เรียกว่ารู้ปัจจุบัน เห็นปัจจุบัน แล้วจึงละปัจจุบัน ...ไม่ใช่รู้ให้ยึดน่ะ  ไม่ใช่ว่าพุทโธๆๆ ห้ามพุทโธหาย อย่างนี้ยึด เอาให้พุทโธเที่ยง กำหนดลมหายใจไม่ลืมลมหายใจ นี่ ให้ลมหายใจเที่ยง เห็นมั้ย

ในความมุ่งหมายของพระพุทธเจ้า พระองค์ท่านไม่ได้ให้เอาความเที่ยงกับสิ่งใดๆ แต่ให้เห็นว่ามันไม่เที่ยง ...ไม่ต้องไปบังคับให้เห็นด้วย อยู่เฉยๆ เห็นเองแหละ

เพราะมันแสดงความเป็นจริงโดยตัวของมันเองอยู่แล้ว ไม่ต้องทำขึ้นมาอีก ไม่ต้องทำให้มันดับ ไม่ต้องทำให้มันไม่เกิด ...พอเริ่มภาวนาไปภาวนามา เริ่มสู่รู้อีกแล้ว ไอ้นี่เกิด..กูไม่ให้เกิด ไอ้นี่ไม่ดับ..กูทำให้มึงดับ

นี่ เริ่มเป็นศาสดาหัวแหลม หัวแหลม..หัวลิง รู้ดี ไม่อยู่เฉยๆ ไม่รู้เฉยๆ ไม่เอาแสงสว่างแห่งปัญญา...แค่รู้อยู่เห็นอยู่ในสิ่งที่มันจะเป็นไปตามธรรมอันควร

ทุกอย่างน่ะเป็นธรรมอันควรทั้งนั้นแหละ มันตั้งอยู่นานก็เรื่องของมัน ไม่ใช่เรื่องของใคร ...ก็เหตุปัจจัยมันตั้งอยู่ก็ตั้งอยู่สิ แล้วก็คอยดูว่าทำไมมันถึงตั้ง มันแอบไปทำอะไรมั้ย

มันแอบไปปรุง แอบไปแต่ง แอบไปเจตนาร่วมกับมันตรงไหนมั้ย จะได้ละมันซะ ...อ้อ มันยังไม่กลาง อ้อ มันยังแอบเลือก อ้อ มันยังแอบภูมิอกภูมิใจ

อ้อ มันยังแอบประคองอยู่ อ้อ มันยังแอบโกรธแอบชังมันอยู่ ...ก็จะเห็น มันก็จะเห็นอีแอบข้างในนั้น คืออำนาจของตัณหา ...มันก็เป็นการชำระให้มันสว่างขึ้น กระจ่างขึ้น...ใจน่ะ

นี่ รู้แป๊บๆ รู้แป๊บๆ เห็นแป๊บๆ มืด ครอบงำใหม่อีกแล้ว ...ครอบงำไม่พอ ไปหามาปิดอีก ไปดึง ไปหาเรื่อง หาเรื่องคิด หาเรื่องทำ หาอดีตหาอนาคตมาปิด ยังเน่าเหม็นทับถมกันอยู่นั่นน่ะ หมักหมมกันเข้าไป

สติไม่ค่อยเรียกหามาใช้ ไม่มาเปิดใจออกมา ไม่มาเป็นเครื่องมืออุปกรณ์ในการขุดค้นให้ใจมันปรากฏผุดโผล่ขึ้นแสดงตัว ...กลับไปหาอะไรมาปกปิด

เอาความคิดมาบัง เอาเรื่องราวต่างๆ นานา มาปิดบัง เอาภารกิจมาปิดบัง เอาเรื่องของบุคคลอื่นมาปิดบัง เอาเรื่องของเราในอดีตอนาคตมาปิดบัง ...มันจะแจ้งได้ยังไง

ใจมันจะแจ้งได้ยังไง ก็ไม่ได้ชำระออกสักนิดน่ะ เอาแต่หมักหมมกลับมา มันจะแจ้งได้ยังไง รู้นี่มันจะแจ้งได้ยังไง ...ที่ว่ารู้แจ้งแทงตลอดนี่ มันต้องชำระจนมันเกลี้ยงน่ะ หมดน่ะ หมด

เวลามือเปียกนี่ มันอยู่ไม่ได้เลยนะ ต้องเช็ดน่ะ ให้มันแห้งน่ะ ...เหมือนกันน่ะกับใจ ชำระอยู่เสมอ คือรู้อยู่เนืองๆ รู้อยู่เป็นนิจ ...เผลอไม่ได้นะ เผลอล่ะถูกเมฆหมอกครอบคลุม โมหะครอบคลุมหมดน่ะ 

แล้วก็จะลุ่มหลงมัวเมา ไปในขันธ์ต่างๆ นานา ทั้งขันธ์ตัวเอง ทั้งขันธ์ผู้อื่น ทั้งขันธ์ที่มีวิญญาณครอง ทั้งขันธ์ที่ไม่มีวิญญาณครอง ทั้งขันธ์ที่ยังไม่เกิด ทั้งขันธ์ที่เกิดไปแล้ว 

ทั้งขันธ์หยาบ ทั้งขันธ์ละเอียด ทั้งขันธ์ประณีต เยอะแยะไปหมด ...เหมือนเหล้าน่ะ มีหลายยี่ห้อน่ะ ไวน์ก็มี เหล้าขาว เหล้าแดง เหล้าญี่ปุ่น มันดูน่าปลื้มน่าชิม 

แล้วคนนั้นคนนี้เขาก็ชิม เขาก็กิน แล้วเขาว่าอันนั้นดี อันนี้ดี กินแล้วเพลิดเพลินอย่างนั้น กินแล้วมีความสุขอย่างนี้ ...เอาแล้ว เห็นมั้ย มันก็อดไม่ได้นี่ 

เพราะอะไร ...ตัวมันเองแหละมันเป็นแอลกอฮอล์ลิซึ่ม ...ตัวใจนี่ที่เกิดมานี่ มันมีความเมาอยู่แล้วในตัวมันเอง คือมันติดเหล้า เป็นแอลกอฮอล์ลิซึ่มมาแต่กำเนิด

คือมันหมักเชื้อหมักเมาไว้อยู่นั่นแหละ มันพร้อมที่จะเมาน่ะ ...พอมียี่ห้อใหม่มา..เอ๋ย ขอสักเป๊ก  คือมันยั่วยวนน่ะ เพราะมันมีเชื้อเมาอยู่ข้างใน ...ถ้าไม่ระวังน่ะ เมาแน่ๆ

สติ..สำคัญ สมาธิ..สำคัญ เป็นอุปกรณ์ที่กางกั้นกิเลส ให้ใจมันตั้งขึ้นมา ... สติมาก..สมาธิก็มาก สติมากสมาธิมาก..ปัญญามันก็มาก สติอ่อน..ปัญญาก็อ่อน..สมาธิก็อ่อน

รู้บ่อยๆ ใจมันจะตั้งขึ้นมา มันก็หยั่งลงไปที่รู้ หยั่งลงไปที่เห็น ...ไม่รู้ตรงไหนน่ะ มันตรงที่รู้น่ะ ตรงที่เห็นนั่นแหละ ไม่ต้องถามว่าตรงไหน...ตรงไหนก็ได้

ตรงไหนที่รู้ ตรงไหนที่เห็นอยู่น่ะ ตรงนั้นแหละ...หยั่งลงไปที่ใจดวงนั้น มีดวงเดียว มีรู้แบบเดียว รู้เฉยๆ นั่นแหละ ...รู้แบบไม่มีหน้ามีตา รู้แบบไม่มีตัวไม่มีตน รู้แบบไม่มีใครไม่มีของใคร 

หาตำแหน่งแห่งหนใดไม่ได้เลย เอาโซ่ล่ามไว้ก็ไม่อยู่ เอาอะไรไปมัดไว้มันก็ไม่เห็น ไม่มีปรากฏไว้ แต่มันจะปรากฏได้ต่อเมื่อมีสติ...ดวงจิตผู้รู้ ดวงจิตผู้เห็น เอานั่นแหละเป็นที่อยู่ที่อาศัย เป็นที่พึ่ง เป็นสรณะ 

เหมือนเป็นขั้นบันไดน่ะ อาศัยใจดวงนี้ ดวงที่เห็น ดวงที่รู้...ทีละนิดๆ ที่เห็นสว่างขึ้นเป็นรู้ๆ แต่ละขณะ เหมือนเป็นบันได เดินไปในองค์มรรค

ถ้าไม่อาศัยใจรู้ใจเห็นดวงนี้ไป ผิดทางหมด เตลิดเปิดเปิงหมดน่ะ นอกลู่นอกทางไปหมดน่ะ ไปแบบไม่มีกลับ หรือเรียกว่าไปเรื่อยเปื่อย ...ก็เดินจนกว่าจะถึงที่สุดของบันได


(ต่อแทร็ก 5/32)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น