วันพฤหัสบดีที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

แทร็ก 5/2




พระอาจารย์

5/2 (540610B)

(แทร็กต่อ)

10 มิถุนายน 2554


โยม –  พระอาจารย์  ขอโอกาสถามเจ้าค่ะ ... จิตของพระอริยะยังมีการต้องวางแผนที่จะทำกิจธุระอีกไหมเจ้าคะ 

พระอาจารย์ –   มี...มี 


โยม –  แสดงว่านั่นต่างจากของคนธรรมดาอย่างไรเจ้าคะ   

พระอาจารย์ –   ท่านก็วางไปอย่างนั้นน่ะ ไม่ได้เข้าไปหมายมั่นจริงจัง 


โยม  แสดงว่าเห็นขันธ์ที่มันเกิด ไม่ว่าจะเป็นรูป สัญญา หรือสังขารที่ปรุง แล้วก็ไม่อุปาทาน มันเป็นแค่การที่เข้าไปเห็น  

พระอาจารย์ –   ก็ทำได้หมดเหมือนคนธรรมดาทั่วไป ...  แต่ท่านจบไปกับตรงนั้นเลย...จบไปพร้อมกับความคิดตรงนั้นที่ดับ ...เหมือนนกบินไปในอากาศ

อย่างนี้...ในห้องนี้  โยมรู้มั้ย  มีร่องรอยตรงไหนมั้ย ที่บอกว่านกเคยบินมา ...ไม่มีนะ  แต่เราบอกว่า...มี  เคยมี แต่โยมหารอยไม่เจอหรอก  แต่จะบอกว่าไม่เคยมีนกมาบิน ไม่จริงนะ ...มี

เพราะนั้นการกระทำของพระอริยะพระอรหันต์นี่ ท่านทำบนความว่างเปล่า  จะไปบอกว่าท่านไม่ทำก็ไม่ได้ ...ก็มีนกบินมา

แต่ของพวกเรานี่มันเป็นนกที่กลิ่นเน่าเหม็น  บินไปแล้วสิบชาติ ยังมีกลิ่นตกค้าง ... มันมีร่องรอยอยู่ เข้าใจมั้ย  ด้วยความหมายมั่นนี่ มันตราตรึงจารึกไว้ในปฐพีผืนดินในใจ ...มันยังมีใจเป็นที่รองรับจารึกไว้...เป็นอุปาทาน สัญญา อาสวะ

แต่ถ้าเป็นพระอรหันต์นี่ เหมือนรอยเท้าในอากาศ เหมือนนกบินในอากาศ  ก็เดินมา...แต่ไม่มีรอยเท้าทิ้งไว้เลย  มันดับไปตรงนั้นเลย ตรงที่ขาย่างก้าว...ทุกก้าวขา ทุกคำพูด ทุกความคิด ...เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งที่ไม่ปรากฏเลยในมนุษย์ปุถุชน

นี่เป็นธรรมชาติหนึ่งของพระอรหันต์ เป็นธรรมชาติของกายกับใจที่แยกกันอยู่โดยอิสระ  ไม่ต่อเนื่องกันแล้ว ไม่มีเชื้อเนื่องกันแม้แต่โยงใยหนึ่ง  เหมือนบัวที่โผล่พ้นน้ำ ไม่มีโคลนตมติด แยกกันเด็ดขาดจากดิน ถึงเรียกว่าบัวบาน

ไอ้พวกเรามันบัวที่เพิ่งออกจากเหง้า เพิ่งแทงเหง้าขึ้นมาจากดิน  แล้วก็...ศีลอ่อน สมาธิมด ปัญญาควาย มันก็ถูกหอยปูปลากิน ...ก็เน่า  แต่เน่าขนาดไหนน่ะ ไอ้บัวนี่มันมีเหง้า มันก็จะงอกขึ้นมาใหม่อีก เข้าใจมั้ย

เพราะนั้นในตัวคนนี่ก็คือบัวสี่เหล่า  อย่าไปบอกว่าคนนั้นเป็นปทปรมะ ไอ้นี่มัน วิปจิตัญญู อุคฆฏิตัญญู เนยยะ ... มันอยู่ในสี่เหล่าทั้งหมดน่ะ  ไอ้ที่นั่งยืนเดินนอนนี่คือบัว  ใจก็เป็นตัวที่แทงยอดขึ้นมา ถ้ามันมีศีลสมาธิปัญญา

พระอริยะเจ้าทั้งหลายท่านก็เป็นบัวสี่เหล่า ที่เริ่มมาจากเหง้าในชาตินั้น แล้วก็งอกขึ้นมา ... แต่อาศัยความพากความเพียรด้วยศีลสมาธิปัญญา ท่านก็รักษาตัวรอด ให้ใจดวงนี้มันผ่านพ้นหอยปูปลาที่จะมาแทะมาเล็มมากัดมากิน  

ด้วยอำนาจของศีลสมาธิปัญญา ก็รักษาให้อยู่ตลอดรอดฝั่ง จนใจดวงนี้เบิกบาน  หรือว่าบัวมันแทงขึ้นมาเรื่อยๆๆๆๆ จนโผล่พ้นน้ำ  บานแล้วบานเลย ...ก็ถึงที่สุดของบัว

ไอ้พวกเรานี่ก็บัว ... แต่พอมันกำลังจะแทงขึ้นมา แทงแล้ว แทง...แทงแล้วๆๆ ...ก็มาเจอว่า ..ไอ้นี่ก็สำคัญ ...ไอ้นี่ก็ใช่ ...ไอ้นี่ก็ต้อง’  เออ นั่นแหละหอยปูปลามาแล้ว ... ก็ไม่ได้ตั้งใจจะให้มันกินหรอก แต่กูแทงไปเข้าปากมันเองอ่ะ มีอะไรมั้ย (หัวเราะ)

มันก็อยู่ในประเภทไหนล่ะ ปทปรมะวันยันค่ำน่ะ  เดี๋ยวก็ตายๆ  จิตหาย จิตเสื่อม จิตถอย จิตขี้เกียจ จิตขี้คร้าน ... ศีลสมาธิปัญญามีไม่เอา ไปเอาสมาธิมด ปัญญาหมา สมองควาย เอามาเป็นที่เสื่อมที่ห่อหุ้มอยู่ ...มันคือหอยปูปลาทั้งนั้น ... มาฟังทีก็...งึดๆๆๆ ...ขึ้นแระๆๆ ... จะได้สักคืบนึงมั้ย 

แล้วคราวนี้ว่า...ไอ้ที่จะโผล่พ้นน้ำนี่ มันแล้วแต่กรรมและวิบากด้วยนะ...ตื้นลึกหนาบางนี่ ... ถ้าดันไปเกิดในก้นบึ้งของท้องสมุทรเลยน่ะ มันก็วิบากเยอะหน่อย ... กรรม...ขยันสร้างเข้าไป มันก็ทับถมกันลงมา มันก็ยิ่งหนา เข้าใจมั้ย ...มันก็ลึกน่ะ

แต่บัวสี่เหล่าของพระอริยะ ท่านไปเกิดในบ่อน้ำตื้น ...ก็ท่านเคยเกิดน้ำลึกมาแล้ว จนมันตื้นขึ้นๆ  ท่านก็เป็นเหง้าที่อยู่ในบ่อน้ำตื้น แค่วาแค่คืบแค่ศอก  พล้อบๆ แพล้บๆ ท่านก็พรวดขึ้นแล้ว ... ไอ้พวกเรานี่อยู่โน่น ใต้ทะเลฝั่งอันดามันที่ลึกที่สุดของโลก อย่างเนี้ย

มันก็อย่าท้อถอยสิ เพียรรักษาศีลสมาธิปัญญาเข้าไป ... อย่าไปสอดส่อง เอาหูเอาตาหาเรื่อง ไปเอาเรื่องตามหูตามตามาเป็นธุระปะปัง มาเป็นเหตุปัจจัยที่จะต้องใช้ประโยชน์โพดผลกับมันอยู่ ... เสียเวลา เราถึงบอกว่าเสียเวลา...กว่าจะโผล่พ้นน้ำได้

มันยังมีโรคภัยไข้เจ็บที่จะมาเกาะกินเกาะกุมบัวดอกนี้อยู่ กว่ามันจะขึ้นมาเป็นถึงเนยยะ กว่าที่จะเป็นวิปจิตัญญู กว่าจะถึงเป็นที่สุดคืออุคฆฏิตัญญู  มันต้องอาศัยความพากเพียรต่อเนื่องไม่ขาดสาย บ่อน้ำนั้นน่ะก็จะตื้นเขินขึ้นไปเอง ... ไม่ยาก

แต่ถ้ายังหมักอยู่แค่เนยยะ อยู่แค่ปทปรมะ  คือโผล่ไม่พ้นคืบไม่พ้นกระเบียดก็หายแล้ว อย่างเนี้ย ... เหมือนสติที่เราพูดอยู่บ่อยๆ ว่าสติขอทานน่ะ  วันนึงรู้สักกี่ครั้งล่ะ  เน่าอีกแล้ว  ใจมันเน่าไปแล้ว  จะกี่ชาติล่ะมันจะผุดขึ้นโผล่ขึ้นมาเป็นบัวพ้นน้ำน่ะ ใช่มั้ย

เพราะนั้นความต่อเนื่องสำคัญ จนเป็นไม่ขาดวรรคขาดตอน  รู้กายรู้ใจ เห็นกายเห็นใจอยู่ สืบเนื่อง  นั่นแหละ บ่อมันก็จะตื้นเขินไปเอง  

การแทงยอดแทงหน่อโดยธรรมชาติของบัวมีอยู่แล้วทุกคนไปน่ะ มันก็โผล่ขึ้นตามธรรมชาติของเหง้าบัวอยู่แล้ว เป็นหลักของวิวัฒนาการ  แต่ว่ามันไม่ใส่ใจรักษาในทางของมรรค มันก็ไม่ทันโผล่พ้นน้ำสักที..ก็เน่าตายไปซะก่อน...ภาวะใจนี่

เพราะนั้นธรรมชาติของสติ โดยปกติวิสัยของสัตว์โลกมีอยู่แล้ว ... แม้ไม่เคยฝึกสมาธิปัญญามาเลย อย่างคนต่างชาติต่างภาษาอะไรก็ตาม บางครั้งก็รับรู้ได้ ระลึกรู้ขึ้นมาได้ ว่ามันกำลังทำอะไร ...โดยธรรมชาติ ไม่ต้องบอกต้องสอนเลยนะ  มันมี...เป็นขณะ บางขณะ หรือเหตุการณ์เกิดขึ้นให้รู้ตัว เกิดความรู้ตัวขึ้นมา  แต่มันก็ปล่อยให้หายไป นั่นน่ะ เน่าอีกแล้วครับท่าน

พระพุทธเจ้าท่านถึงเน้นย้ำเรื่องของมัชฌิมาปฏิปทา เรื่องของศีลสมาธิปัญญา ให้กลับมาอยู่ในวิถีชีวิต ให้ต่อเนื่อง  ด้วยความพากเพียร ... มันไม่มีทางต่อเนื่องได้เองหรอก ต้องเจริญขึ้นมา  ไม่ใช่ทิ้งๆ ขว้างๆ แล้วมันจะดีขึ้นมาเองนะ  

ขี้เกียจขี้คร้าน มีแต่ขี้ ไม่ได้อะไร  จะไม่ได้ความรู้แจ้ง จะไม่ได้ความเข้าใจเท่าทัน  เห็นความเป็นจริงของกายของใจ เห็นความเป็นจริงของรูปของนาม เห็นความเป็นจริงของอายตนะ ๖ อายตนะ ๑๒ ...หกมันมีคู่ อายตนะภายในกับอายตนะภายนอก  

อายตนะภายในคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ  อายตนะภายนอกคือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏ ฐัพพะ ธรรมารมณ์  รวมกันแล้วเรียกว่าอายตนะ ๑๒ ... เหล่านี้ มันก็แจ้งหมดแหละ

แต่ตอนนี้มันไม่รู้อะไรสักอย่าง ... รู้อย่างเดียว '..กูจะได้อะไรวะเนี่ย'  รู้อย่างเดียวว่า 'ต่อไปเขาจะว่ายังไงเรา แล้วเราจะทำยังไงดี' ...  กลัวอยู่แค่นี้ กลัวตายเหรอ  มันไม่แจ้งสิ...ในธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๖ อายตนะ ๑๒

ให้มันมารู้อยู่ตรงนี้  ... มันก็อยู่ในตัวนี้ทั้งหมดน่ะ อาการของนามก็ผุดโผล่ขึ้นมาภายในกายนี้ทั้งหมด  มันไม่ได้ออกมาจากสวรรค์นรกข้างนอกหรอก ... ถ้ามันอยู่ตรงนี้ ภายในแวดวงกายนี่ รู้เห็นอยู่ที่ภายในนี้ ในหนังหุ้มอยู่สุดรอบนี่  มันจะไม่แจ้งได้ยังไง ฮึ  ของมันมีอยู่ในนี้ ตรงนี้  ไม่ต้องออกไปรู้อะไรแล้ว  

ก็ยังทำงานได้ ... ตอนนี้เราอาจจะคิดว่าไม่ได้ หรืออาจจะยาก หรืออาจจะไม่เหมือนกับคนอื่น ... มันเป็นแค่ความคิด  ทำไปเหอะ อยู่ไปเหอะ ใช้ชีวิตไป ... แรกๆ ก็อาจจะดีใจเสียใจกับการที่คนเขาเข้าใจหรือไม่เข้าใจเรา  ต่อไปเราจะบอกว่า 'เออ สบายดี กูอยู่คนเดียวเลย ไม่ต้องมายุ่งกับกู ...สบาย'

ง่าย เป็นอิสระดีออก ไปแบบเหมือนพระไง  ภาษาพระเขาว่า 'บาตรเดียวเที่ยวรอบโลก' ... ไป ไม่ข้องไม่แวะอะไร อยู่แบบพระธุดงค์น่ะ  อยู่ไหนก็ได้ ไปไหนก็ได้ เขาให้กินก็อยู่ เขาไม่ให้กินก็เดินต่อไป หาที่อื่นใหม่  บิณฑบาตกินไปวันๆ ไม่เก็บไม่สะสม ถึงเที่ยงแล้วก็ทิ้งหมด ฉันเสร็จแล้วก็ทิ้งหมด หาเอาใหม่

เห็นมั้ย ชีวิตมีอยู่แค่วันๆ ... ไม่ได้เพื่อลาภยศสรรเสริญ ความยินดียินร้ายของคนในโลกนี้หรอก ก็มีชีวิตไป 

นี่ ท่านสร้างรูปแบบของสมณะนักบวชขึ้นมา ... เพื่อให้เห็นสภาวะใจ สภาวะจิต สภาวะธาตุ สภาวะขันธ์  ว่าเขาก็จะอยู่อย่างนี้ เป็นปัจจุบันขณะไป  ไม่มีเผื่อ ไม่มีล่วงหน้า ... ท่านก็เลยสร้างรูปแบบของนักบวชหรือว่าพระ สมณะ

ไอ้นักบวชยุคหลังๆ ก็ไม่เข้าใจ เอารูปแบบกฎเกณฑ์ของท่านมาเป็นหลักแบกหามไว้อีก  เอ้า มายึดมาถือ มายึดมั่นในรูปแบบนี้อีก  เถียงกัน ด่ากัน ทะเลาะกัน โจมตีกัน ติฉินกัน ว่ากล่าวให้กัน  

แต่ถ้าเข้าใจแล้วจะรู้ว่าพระพุทธเจ้าวางรูปแบบกฎเกณฑ์ไว้ ทั้งโดยภายนอกภายใน ทั้งโดยอรรถโดยธรรมโดยกถา ทั้งโดยอรรถโดยพยัญชนะ ทั้งปรมัตถ์ ทั้งสมมุติ ทั้งวิมุติ  ท่านพูดแจกแจงแยบคายที่สุด ครอบคลุมหมด

ไม่ว่ามึงจะไปซ้าย มึงจะออกขวา มึงจะออกหน้าออกหลัง  พระพุทธเจ้าท่านดักไว้หมดเลย ด้วยธรรมที่ท่านรู้แจ้งเห็นจริง  มันไปไม่ได้  ก็รวมลงในร่องเดียวหมดเลย กลับมารวมลงในร่องของมัชฌิมาได้หมด   อย่ามาหือมาอือกับธรรมที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ดีแล้ว ท่านเรียกว่าเป็นสวากขตธรรม

แต่ไอ้ใจไม่รู้นี่มันจะตั้งตัวเป็นศาสดาอยู่เรื่อย  หลวงปู่ท่านถึงพูดว่าพวกศาสดาหัวแหลม  เดี๋ยวก็แหลมเปี๊ยบขึ้นมา ด้วยความคิดนั้น ด้วยความเห็นนี้  แหลมเปี๊ยบเลย  ศาสดาหัวแหลมบังเกิดขึ้นอีกตนในโลกแล้ว
 
พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ดีแล้วด้วยพระธรรมของท่าน มีผู้ปฏิบัติตามได้ผลแล้วเยอะ พระอริยะสงฆ์ทั้งหลายทั้งปวงนับคณาไม่ได้ดั่งเม็ดทรายในมหาสมุทร  เหล่านี้ไม่เชื่อ ...มาเชื่อศาสดาหัวแหลมเปี๊ยบ 

มันแป๊บขึ้นล่ะเชื่อเลย  และถึงไม่มีแหลมเปี๊ยบ มันก็ไปพยายามเหลาให้มันแหลม(หัวเราะ) มันจะได้เกิดความคิดที่แยบคาย แยบยล อุบายนานาชนิดเลย ... อยู่ดีไม่ว่าดี หาเรื่องเอาของแหลมมาทิ่มแทงกัน  เบียดเบียนตัวเอง เบียดเบียนผู้อื่น ด้วยความเป็นศาสดาหัวแหลม หัวแหลมเปี๊ยบ  

ไม่ได้มีประโยชน์อะไรนอกจากทิ่มแทงตัวเองและก็ทิ่มแทงคนอื่น ... ที่มันทะเลาะกันเพราะความเห็นต่างกันนั่นแหละ  มันก็เป็นอาวุธเลยนะนั่นน่ะ คนนึงถือหอก คนนึงถือดาบ คนนึงถือมีดสั้น คนนี้มีดยาว เป็นอาวุธมาประหัตประหารกันภายนอก

เพราะนั้นว่า ศีล สมาธิ ปัญญา นี่มันจะเข้าไปตัด เข้าไปละ เข้าไปทำลาย  ... กลับมาอยู่ในที่อันควร คือใจก็เป็นใจ ขันธ์ก็เป็นขันธ์  ...เออ มันควร ควรแก่การ ควรแก่งาน ควรแก่การทำความแยบคาย รู้แจ้ง 

โดยสมมุติ โดยปรมัตถ์ มันก็มี ... โดยสมมุติก็ถูกต้องแล้วล่ะที่เรียกว่ากาย ถูกต้องแล้วล่ะที่เรียกว่ายืน เดิน นั่ง นอน นี่โดยสมมุติ  แล้วก็ถูกต้องอีกว่าในยืนเดินนั่งนอนนั้นไม่มีใครยืนเดินนั่งนอน นี่โดยปรมัตถ์  ...ก็มาเห็นกายปรมัตถ์ในสมมุตินั้นๆ  

ก็เห็นทั้งสองฝั่งน่ะ แล้วก็ไม่ได้ว่าอันไหนถูกอันไหนผิด  มันจริง ..เออ อันนี้จริงทางโลก ..เออ อันนี้จริงทางธรรม สัจจะ โดยปรมัตถสัจจะ  อ้อ อันนั้นจริงโดยสมมุติ เขาเรียกว่าสมมุติสัจจะ 

พระอรหันต์ท่านก็ไม่ได้เดือดร้อนทั้งสมมุติสัจจะ แล้วก็ไม่ได้เดือดร้อนกับปรมัตถสัจจะ  เข้าใจ รู้แจ้งตลอดแล้ว ...ก็อยู่ด้วยกัน สันติ  อยู่ไปงั้นๆ น่ะ ไม่ได้หวังอะไรสักอย่างน่ะ จะมีคนมาเคารพมากขึ้นมั้ย จะมีคนมาคอยด่าเรามั้ย  ไม่มีชีวิตในการพูดอยู่ตรงนี้เพื่ออะไรหรอก ... พูดๆๆๆ แล้วก็จบแล้ว

แต่พวกคนฟังมันไม่จบ  มันไม่ยอมจบกันสักที  ... ทำไมมันไม่จบล่ะ  เมื่อไหร่จะหยุด...ฟุลสตอปสักที ... ดิเอนด์(The end) ฟินิช(Finish)  แน่ะ จบ ...  ไอ้คนพูดนี่ พูดแล้วก็จบตรงนี้แล้ว  ไอ้คนฟังยังไม่จบ มันก็ต้องดำเนินในองค์มรรคต่อไป

พอถึงจุดที่ว่าจบก็ ..เออ ปิด ละครเวทีนี้ปิดฉาก ... เหลือแต่พายกับเรือเปล่าๆ ที่ทิ้งไว้อยู่ริมคลอง รอวันผุพัง  ถามหาเจ้าของ...ไม่เจอ ... กายนี้ขันธ์นี้ รูปนี้กายนี้ ขันธ์ ๕ นี้ เหมือนเรือจ้าง ...ข้ามฝั่งแล้ว คนข้ามหายไป เหลือแต่เรือจ้าง

อย่าไปเอาอะไรนอกจากนี้ ... ทำหมันใจซะ จนมันไม่สามารถแพร่พันธุ์ออกมาได้  ที่มันจะกระจัดกระจายล่องลอยออกไปในธาตุ ในโลกธาตุ ในสามโลกธาตุ  

นั่นแหละมันจะแจ้งหมดทุกสภาวธรรม  จึงจะเห็นจิตกับธรรมเป็นสภาวะอันเดียวกัน ... คือไม่มีอะไรในใจ เหมือนกับที่ไม่มีอะไรในโลก  

ไม่มีอะไรในรูป ไม่มีอะไรในเสียง ไม่มีอะไรในกลิ่น ไม่มีอะไรในรส ไม่มีอะไรในเย็นร้อนอ่อนแข็ง และที่สุดก็ไม่มีอะไรในใจ  ทุกอย่างเรียกว่าเป็นอันเดียวกัน ด้วยความเป็นสุญโญ สุญญตา

ดูเข้าไปในกายนี่ รู้เห็นเข้าไปในกาย  เห็นมั้ย มันมีอะไรในนี้มั้ย  หรือว่ามันมีอะไรในกอไผ่ มันมีชื่อแปะไว้มั้ย  มันเคยเรียกร้องขอความยุติธรรมจากสัตว์โลกทั้งหลายทั้งปวงมั้ย  เวลาเราพามันไปยืนกลางแดดแล้วมันเคยร้องขออ้อนวอนบอกว่าให้พาหนู พาผม พาดิฉันเข้าร่มหน่อย ฉันทนไม่ได้มั้ย

มันมีอะไรในนั้นมั้ย ... ถ้ามันมี มันต้องบ่นแล้ว ถ้ามันมีมันต้องต่อต้านแสดงอาการไม่ยอมรับในทุกข์  แน่ะ ดูเข้าไปจนเห็น มันมีอะไรในกาย มันมีอะไรในความคิด มันมีอะไรในกิเลส มันมีอะไรในอารมณ์เวทนา

 ดูไปดูมา โบ๋เบ๋ ... มันก็หมดคนดูแล้ว  เมื่อมันดูจนไม่เห็นอะไร มันก็หมดคนดูแล้ว หมดผู้ดู

เอ้า พอแล้ว ... กลับไปเลี้ยงบัวให้โตพ้นน้ำ  อย่าไปเบ้ให้มันเข้าปากเสือ เข้าปากฉลามซะ เดี๋ยวจะเน่า ...เสียเวลางอก.


.............................


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น