วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2558

แทร็ก 5/18 (1)


พระอาจารย์
5/18 (540915B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
15 กันยายน 2554
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ :  แทร็กนี้แบ่งโพสต์เป็น 2 ช่วงบทความ)

พระอาจารย์ –  สติเป็นแม่ทัพเอก  ถ้าไม่มีสติ...ไม่มีทั้งหมด ...ศีลไม่มี สมาธิไม่เกิด ปัญญาไม่ชัดเจนอะไรสักอย่าง  

เพราะนั้นสติจึงเป็นแม่ทัพเอก ...ถ้าไม่มีการรู้ตัว ทุกอย่างไม่มีทางที่จะมาเห็นว่าปัจจุบันคืออะไรเลย 

แต่เมื่อมีสติเป็นแม่ทัพ ระลึกขึ้นมา รู้ตัว รู้ในปัจจุบัน ...เหมือนมาทำหน้าที่ยาม...เฝ้าประตู แล้วมันก็จะเห็นว่าใครเข้าใครออก ใครมาใครไป  

นี่เรียกว่าสติเบื้องต้น มาทำหน้าที่ยาม แล้วคอยดูว่าใครเข้าใครออก อะไรจะเกิด อะไรจะดับ อะไรจะมา อะไรจะไป

แต่มีสติอย่างเดียวก็ยังไม่พอ เพราะพวกนี้เวลามา...มันแต่งเป็นลิเกมา แบบ...นางเอกมาแล้ว ...พอรู้ว่านางเอกมา มันก็ละหน้าที่ยาม คือมันแปลงตัวเองกลายเป็นแม่ยก วิ่งไล่ตามเอาพวงมาลัยไปคล้อง 

"หนูชอบค่ะ" ...คือพอใจ นางเอกสวย แสดงสมบทบาทจริงๆ เลย แต่งเครื่องลิเกเต็มทรง ...ก็ตามเป็นแม่ยกไป แล้วเขาก็เอาพวงมาลัยไปกิน สบายใจเฉิบ ...แล้วก็ไปแล้ว 

"อ้าว ทำไมไปเร็วจัง โฮ้ เมื่อไหร่จะมาอีกล่ะ ทำไมถึงไปล่ะ อุตส่าห์ซื้อพวงมาลัยให้ตั้งหลายเงิน" ...ก็กลับมานั่งยาม คอตก เป็นยามคอตกอีกนะ คอยลิเก เมื่อไหร่จะออก นางเอกคนเก่าเมื่อไหร่จะมา 

นี่ จะให้เป็นธรรมอันเดิมให้ได้ จะเอาธรรมอันเดิมด้วยนะ ...ต้องเป็นตัวเดิมด้วยนะ ไอ้ตัวที่เราเคยให้พวงมาลัยมันไปน่ะ นางโมราหรือนางกากีก็ไม่รู้น่ะ 

เอ้า พอออกมาใหม่...กลายเป็นผู้ร้าย ...หน้าดำคร่ำเครียดเลยทีนี้ "มึงมาทำไมๆ เดี๋ยวกูจะตามไปตบมันให้ถึงหน้าเวทีเลย" ...นี่มีสตินะนั่นน่ะ เพราะมีสตินะมันจึงเห็น 

แล้วไปตบผู้ร้ายก็โดนผู้ร้ายต่อยคืนซะหน้าปูดเลย กลับมานั่งคอตกอีก เฝ้ายามต่อ ..."กูไม่น่าเลย หนูไม่น่าเลย" ...ก็รู้อยู่แล้วว่ามันเป็นผู้ร้าย ยังไปโดนสวนมาอีก ...แน่ะ มารู้ตัวอีกที


โยม – (หัวเราะกันว่า) มารู้ตัวตอนนี้

พระอาจารย์ –  เนี่ย มันมารู้ตัวทำไม ...รู้เพื่อจะดูนางเอก หรือไม่ก็พระเอก ...คราวนี้ขอให้พระเอกหรือนางเอก อย่างน้อยก็ให้เป็นตัวตลกมาสลับฉากหน่อยก็ยังดี

นี่ยามนะนั่นน่ะ เขาให้เป็นยามนะ จะเล่นบทพ่อยกแม่ยกอย่างเดียว ตามแห่ตามแหน ...เนี่ย ถึงว่าสติอย่างเดียวไม่พอ 

เพราะนั้นเมื่อทำหน้าที่ยามแล้ว ...รู้แล้ว เริ่มรู้ตัวแล้วว่า กูตามนางเอก นางเอกก็ไปไม่ค่อยกลับ ไปหาผู้ร้าย ผู้ร้ายก็สวน จะทำยังไงดี ...นึกออกแล้ว หาเก้าอี้มานั่งแล้ว นั่งเก้าอี้ ดูประตู 

นางเอกมา ...นั่งเก้าอี้ไว้ ไม่ไปอ่ะ ละความรู้สึกอยากเป็นแม่ยกไป นั่งเก้าอี้ให้แน่น ...ผู้ร้ายมา ไม่ไปอ่ะ นั่งอยู่ที่เดียวนี่ จะเฝ้าประตูไว้ มันจะมาเล่นบทอะไรก็ให้มันแสดงไป ...สุดท้ายมันก็เข้าโรงไป เออ

นี่ ถ้านั่งเก้าอี้แล้วยังลุกๆ ลุกๆ เดี๋ยวก็ไป เดี๋ยวก็ไปอีก เพราะมันแต่งลิเกซะเลิศเลอกันมาเลย ...ก็ผูกไว้ เอาเชือกมามัดตัวเองกับเก้าอี้ไว้ ...นี่เรียกว่าตั้งมั่น 

แรกๆ มันก็ไม่ค่อยเป็นกลางน่ะ ยังกระเสือกกระสน กระวนกระวาย กระสับกระส่าย จะไปจะมา นี่ ยังไม่เป็นกลาง  มันยังให้ค่ากันอยู่...ก็กระวนกระวายอย่างนี้ ยังไม่กลางน่ะ

เมื่อเห็นว่ามันไปแล้วก็ไปลับ สวยก็ลับ ไม่สวยก็ลับ นางเอก-ผู้ร้าย เข้าโรงหมด แค่นั้นเองน่ะ ...แค่นั้นเองเหรอ แค่นั้นเองจริงๆ เหรอ อือ แค่นั้นเองจริงๆ น่ะ เหมือนกันหมดแหละ

เอาแล้ว ยามก็เริ่มนั่งบนเก้าอี้ กระดิกตีนจิบน้ำชา สบาย ...ไม่ไปไม่มากับของที่เป็นแค่ชั่วคราว ต่อให้แต่งองค์ทรงเครื่องขนาดไหน เสมือนจริง เหมือนจริงขนาดไหนก็เห็นเป็นชั่วคราว 

ก็นั่งดูไป ด้วยใจที่เป็นกลาง ...เนี่ย ความเป็นกลางมาเอง...มาแล้ว ความลุกลี้ลุกลนกระวนกระวายก็ไม่ค่อยมีแล้ว ไม่ว่าใครจะไป ใครจะมา  

เหมือนโยมจะมาบ้านเรา เราก็ไม่ดีใจ เราก็ไม่เสียใจ เราก็ไม่เคยเรียกร้อง หรือโยมจะไป เราก็ไม่เคยบอกว่ายังไม่ถึงเวลาไป โยมไปก็ไป เราก็อยู่ในบ้าน

เห็นมั้ย เลือกไม่ได้ ห้ามไม่ได้ ไม่ห้าม ไม่เลือก ไม่นัดหมาย ไม่เรียกร้อง ไม่ได้ห้ามกลับ ก็ตามควร ประตูมันเปิด ไม่เคยปิดประตู ไม่คิดจะปิดประตู เพราะปิดไม่ได้

มา...ฟัง ...ก็มีอารมณ์ปรากฏอยู่ช่วงนึง ดีใจบ้าง เสียใจบ้าง สนุกบ้าง ไม่สนุกบ้าง หงุดหงิดบ้าง รำคาญบ้าง แล้วก็ “เดี๋ยวก็กลับ” ...มันก็มีเรื่องราวอยู่แค่ตรงนี้ 

แล้วก็...กลับแล้วกลับไป ...หมด ทุกเรื่องก็จบลงในตัวของมันเอง เราก็นั่งเลี้ยงหมาของเราไป ก็อยู่บ้านของเราไป ...ใจกายมันก็อยู่อย่างนี้ มันเลือกอะไรไม่ได้หรอก 

เพราะไม่เคยคิดจะเลือกอะไร ...เพราะเห็นว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ มันเป็นเช่นนี้เอง ไม่ได้เป็นเรื่องของใคร ไม่ได้เข้าไปจัดการกับอะไร ไม่ได้ไปคัดจัดแจงจัดสรรบุคคลใด ธรรมใดธรรมหนึ่งขึ้นมา

ยามก็สามารถรับหน้าที่ยามได้แบบไม่มีปัญหากับการที่...อะไรจะเข้า อะไรจะออก จะอยู่นาน จะมากขึ้น จะน้อยลง ...มันก็เป็นไปตามบทบาทของมันเอง 

หรือว่าเป็นไปตามบทบาทของขันธ์ภายใน หรือเป็นไปตามบทบาทของขันธ์ภายนอก ...มันก็เป็นแค่นั้นเอง ไม่เป็นอย่างอื่นหรอก ...เป็นธรรมดา มันก็มองเห็นเป็นธรรมดา ก็ไม่เห็นว่าต้องทำหน้าที่อะไร  

เพราะประตูมันก็มี...เมื่อมีประตูมันก็เป็นช่องทางเข้าออก ...ประตูก็ไม่ได้ดีใจ ประตูก็ไม่เคยเสียใจ ...กิเลสก็ไม่ได้อยู่ที่ประตู กิเลสก็ไม่ได้อยู่ที่คนไปคนมา ...มันก็เป็นแค่อาการที่เขาแสดง แล้วก็ดับไป  

กิเลสมันอยู่ที่ตัวยามนั่นแหละ จะไปประเคนอะไร หรือถวายพวงมาลัย ...เนี่ย มันอยู่ที่ยาม ไม่ได้อยู่ที่นางเอกนางร้ายใดๆ

ใจกับขันธ์ก็จะอยู่ด้วยความเป็นสันติ เป็นปกติ เป็นในลักษณะที่ไม่เลือก ไม่คาด ไม่รอ ไม่หวัง ไม่สร้าง ไม่หา ไม่ลด ไม่เพิ่ม ไม่เหนี่ยว ไม่รั้ง 

เนี่ย ความเป็นกลาง มันจะกลางถึงขั้นนั้นน่ะ มันรับได้ทุกธรรมะ ทุกธรรมที่ปรากฏ

แต่กว่าจะรับได้ทุกธรรมที่ปรากฏ มันต้องอาศัยการบ่มเพาะปัญญามากๆ ...คือการเข้าไปเห็นความเป็นไตรลักษณ์ของมันเอง หรือความเป็นสามัญลักษณะ ความเป็นเช่นนั้นตามปกติวิสัยของธาตุของขันธ์

จนเห็นว่ามันเป็นสิ่งหนึ่งที่ปรากฏเท่านั้น ไม่ใช่อะไรของใคร ...จนใจมันเห็น จนใจมันรู้ ว่ามันเป็นแค่สิ่งที่ปรากฏเท่านั้น ไม่ใช่อะไร ของเรา หรือของใคร 

นั่นแหละ มันเห็นอย่างนั้นน่ะปัญญา ต้องสะสมปัญญาอย่างนั้น ...ความเป็นกลางมันก็จะกลางจนไม่น่าเชื่อว่ากูจะเป็นได้ถึงขนาดนี้เชียว...ใจกู 

บางทีนะ ไอ้ความที่คุ้นเคยกับใจที่ไม่เคยเป็นกลางเลยน่ะ พอมันกลับเปลี่ยนมาเป็นเริ่มกลาง...โดยที่ว่าไม่น่าเชื่อเลยว่าใจมันจะกลางได้ถึงขนาดนี้น่ะ

เห็นมั้ย ใจยังไม่ใช่เรื่องของเราเลย ไอ้การที่เข้าไปเห็นใจที่มันเปลี่ยนไปน่ะ เออ ไม่นึกไม่ฝันว่าใจมันจะเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้ ...ไม่ใช่อยู่ดีๆ มันเปลี่ยนได้เองนะ เพราะมันมีปัญญา มันจึงเปลี่ยน

เพราะมันมีกิเลสมันก็เปลี่ยนเหมือนกัน...มีกิเลสมันก็เปลี่ยนอีกแบบนึง ...ไม่เคยนึกเคยฝันว่ากูจะโกรธได้ขนาดนี้...ก็มี 

แต่ถ้ามีปัญญา ...ไม่นึกไม่ฝันเลยว่ากูทนได้ยังไงวะนี่ โดยไม่รู้สึกอะไรกระเพื่อมหรือกระพริบเลย หรือขยับเลย...นี่ ก็มี

อยู่ที่ว่า...กิเลสมากปัญญาน้อย หรือว่าปัญญาหนากิเลสน้อยล่ะ ....ก็ดูมัน เห็นความเปลี่ยนแปลงภายในใจ ความเป็นกลางมันก็มากขึ้นไปๆ 

มรรค มัชฌิมา มันก็เรียวลีบลงไปเรื่อยๆ จนถึงที่สุดของมรรค คือที่สุดของปัญญา มันก็แคบลงๆ จนเป็นกลางในทุกสรรพสิ่ง 

ซ้ายไม่ไป ขวาไม่ไป บนไม่ไป ล่างไม่ไป หน้าไม่ไป หลังไม่ไป ไม่ไปไม่มา ไม่เลือกไม่หา ...นั่นแหละ ถึงที่สุดของมรรค กลางจนไม่น่าเชื่อว่าใจมันจะกลางได้อย่างนี้เลย

บอกให้มันทำ มันก็ไม่ทำ บอกให้มันโกรธ มันก็ไม่โกรธ บอกให้มันคิด มันก็ไม่ยอมคิด บอกให้มันหา บอกให้มันหนี มันก็ไม่ยอม มันไม่ไปไม่มาเลย ...ถึงขั้นนั้นน่ะจะงงเลยว่าใจกูเป็นได้ยังไง

นั่น ปัญญามันเข้าไปอบรมใจ ...แต่เบื้องต้นที่ให้ปัญญาเข้าไปอบรมใจได้ ต้องบังคับให้ใจมันเห็น ด้วยสติศีลสมาธิปัญญา ด้วยสติสัมปชัญญะ ให้มันเห็นปัจจุบันซ้ำซากลงไป ...ไม่หนี ไม่แก้ ยังไงยังงั้น

ดูดิ๊ มันเกิดตรงนี้แล้วมันจะดับตรงนี้มั้ย ไม่ต้องไปหาที่ดับ ไม่ต้องไปดับที่อื่น ความคิดเกิด ดูที่ความคิด  อารมณ์เกิด ดูที่อารมณ์ เห็นที่อารมณ์ มันก็ดับที่อารมณ์นั่นแหละ ตรงที่อารมณ์ปรากฏตั้งอยู่นั่นแหละ

ความคิดมันเกิด มันผุดมันโผล่ขึ้นมา ดูที่ความคิด เห็นว่ามีความคิด ตรงนั้นน่ะ ไม่ต้องไปหาที่ดับ มันดับตรงนั้นแหละ ในตัวของมันนั่นแหละ 

ไม่ต้องไปหาที่ ไม่ต้องไปทำ ... สุข-ทุกข์มันเกิดตรงไหน มันก็ดับตรงนั้นน่ะ ไม่ต้องไปหาที่เกิดที่ดับ ...มันปรากฏไหนก็ตรงนั้นน่ะ

ยามน่ะยาม...ให้เป็นยาม ไม่ได้ให้เป็นผู้จัดการ หรือเป็นพระเจ้า หรือเป็นผู้กำกับผู้กำเกิน ผู้เขียนบท ผู้จัดสรร แคสติ้ง ชอบเป็นนักแคสติ้ง...อันนี้ควร อันนี้ไม่ควร (หัวเราะกัน) 

ตัวละครตัวนี้สม ตัวละครตัวนี้ไม่สม สถานการณ์อย่างนี้ควร สถานการณ์นี้ไม่ควร สถานที่นี้ควร สถานที่นี้ไม่ควร ...นี่มันพวกแคสติ้งทั้งนั้น

พระพุทธเจ้าบอกว่าให้เป็นยาม ให้เป็นยามน่ะหมายความว่าให้อยู่ในองค์มรรค คือเป็นแค่ผู้สังเกตการณ์ เป็นผู้สังเกต เป็นผู้ที่อยู่กับประตู...มีหกประตู ไม่ต้องไปเปิด-ปิดประตูหรอก ให้เป็นยาม

แค่เป็นยาม ให้ทำหน้าที่ที่สบายที่สุดแล้ว คือให้นั่งนิ่งๆ เฉยๆ แน่นๆ เกาะเก้าอี้ไว้ ที่หน้าประตู ...แล้วจะได้เห็นว่า ไม่ว่าคน ไม่ว่าสัตว์ ไม่ว่าเปรต ไม่ว่าอสุรกาย มันเข้ามา-มันออกไปๆ ...ที่สุดของมันคืออะไร

จิตไม่รู้ภายในนี่ กับจิตไม่รู้ภายนอก มันสร้างตัวลิเกเยอะแยะ สัตว์เดรัจฉานก็ได้ นางเอกก็ได้ เปรตก็ได้ เทวดาก็ได้ พรหมก็ได้ โสดา สกิทาคา อนาคา อรหันตาก็ได้ ...เอาดิ เอากับมันดิ มันสร้างได้ทั้งนั้นแหละ

เป็นเปรต เป็นเสือมา ...“อู้ย เฉยมาก ทัน ชัดๆ มึงไม่มีได้กินกูหรอก” แบบกูทำหน้าที่ยามไง กระหยิ่มเลย...สบาย  

พอเป็นนางเอกมา ชักลังเลแล้วโว้ย  ก็..."ฮึ ไม่เอาดีกว่า ปัดเสียดาย เออ หลอกกูไม่ได้" ...เฉย ดูเห็น ไม่ตาม ไม่ไป

แต่พอห่มเหลืองนุ่งเหลืองโกนคิ้วมาแล้ว ...ฮื้อ กูเริ่มๆ เริ่มศรัทธาปสาทะเกิด มันมาในรูปแบบนักบวชเนี่ย ก็ตามมา สภาวธาตุสภาวธรรม ขั้นภูมิ มาแล้วๆ

“อิชั้นอยู่เฉยๆ ไม่ไหวแล้วเจ้าค่ะ อิชั้นเริ่มสะพายย่าม สะพายกลดให้แล้ว เป็นอุปัฏฐาก” ...จะละทิ้งหน้าที่ยาม จะขอไปเป็นอุปัฏฐากพระได้บุญกว่า เผื่อจะได้เห็นธรรมตามท่าน ...แน่ะ ถูกหลอกอีกแล้ว

พอทันพระสงฆ์อีก ...เดี๋ยวพระพุทธเจ้ามาเองเลยทีนี้ (หัวเราะกัน) ...คราวนี้องค์พระปฐมองค์ต้นมาเองเลย พระพุทธเจ้าแท้ๆ เลย ธรรมแท้ๆ เลย

นี่  ...ที่นั่งเฝ้ายามนี่ เพื่อเจอพระพุทธเจ้าองค์เดียวเท่านั้น ...อย่าได้มาให้เห็นปรากฏเชียว โกนหัวบวชชีตามเลย

ตอนแรกเป็นอุปัฏฐากนะ นี่ พระพุทธเจ้ามาเองนี่ โกนหัวบวชชีเลย เป็นนักปฏิบัติเต็มตัวเลย อื้อ สำเร็จเลย สำเร็จ...ตามความอยากเลย ...ต้องวงเล็บไว้ด้วยนะ “ตามความอยากเลย” อย่างนี้


(ต่อแทร็ก 5/18  ช่วง 2)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น