วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2558

แทร็ก 5/19 (2)


พระอาจารย์
5/19 (540915C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
15 กันยายน 2554
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ :  ต่อจาก แทร็ก 5/19  ช่วง 1

พระอาจารย์ –  แต่พวกเรามักจะติดนิสัยของการทำ การหา ...ก็ต้องละความคุ้นเคยเดิมนี้ ... เพื่ออะไร ...เพื่อปรับสติ สมาธิ ปัญญา ให้เป็นสัมมาสติ เป็นสัมมาสมาธิ เป็นญาณทัสสนะ 

ไม่ใช่รู้เห็นอย่างที่เราต้องการรู้ต้องการเห็น ...แต่มันเป็นการรู้เห็นตามความเป็นจริงที่ปรากฏ นี่เรียกว่าญาณทัสสนะ ...ต้องปรับการปฏิบัติทั้งหมดเพื่อให้กลับมาเป็นสัมมาญาณะ คือสัมมาทิฏฐิ  

ไม่งั้น การปฏิบัติมันจะไพล่ไปเป็นมิจฉาโดยไม่รู้ตัว มันจะมีมลทินเข้ามาแทรก คือความอยาก จนกลายเป็นการปฏิบัติเพื่อให้เกิดความอยากรู้อยากเห็น อยากมีอยากเป็น อยากไม่มีอยากไม่เป็น...โดยไม่รู้ตัว  

แล้วมันจะถือเอาการปฏิบัติกระทำนั้น...เป็นตัวเป็นตน เป็นมานะ เป็นอัสมิมานะ  เป็นเรา...เปรียบเทียบกับเขาขึ้นมา ...นี่ ไม่รู้ตัว

แต่ถ้านึกหรือจำได้ หรือเคยได้ยินมาด้วยสุตตะ ด้วยจินตา  มันก็จะเป็นตัวมาเตือนว่า มรรคคืออะไร  ...อาศัยเตือนด้วยสุตตะ จินตา เตือนว่าแค่รู้แค่เห็น ไม่ใช่หา ไม่ใช่ทำ 

เบื้องต้นต้องเตือน...ด้วยสุตตะ ด้วยปริยัติ ด้วยจินตา ความเคยเข้าใจ หรือเคยผ่านมาก่อน  มันเคยทำ เคยเจริญมา เคยอยู่เฉยๆ แล้วดูมัน ...มันเคยมาก่อน 

ก็น้อมมาเตือน ...เพื่อให้กลับมาอยู่ในองค์มรรค เพื่อทำมรรคให้แจ้ง ให้แจ้งในมรรค ให้ชัดเจนในมรรค

ไม่ไปอ้อยอิ่งอ้อยสร้อยกับความคิดความปรุง หรือการกระทำที่กอปรด้วยเจตนาเป็นกุศลใดๆ ก็ตาม หรือมันคิดว่าเป็นกุศลใดๆ ก็ตาม ที่ดีกว่า เลิศกว่า ประเสริฐกว่า เร็วกว่า

เตือนบ่อยๆ เพื่อจะอยู่กับปัจจุบันจริงๆ รู้แล้วก็เห็น ความเห็นจะทำให้ความรู้ต่อเนื่อง ...รู้ว่าหลง เผลอแล้ว เพลินแล้ว ไปแล้ว คิดแล้ว ...เนี่ย รู้ก่อน สติ ทำความต่อเนื่อง

ให้มาเห็นกายต่อเนื่อง อยู่กับกายไป เห็นกายไป เห็นอาการทางกายไป เป็นก้อน ไม่เป็นใคร ...เห็นกายไป มีเกิดๆ ดับๆ ข้างใน เดี๋ยวตึง เดี๋ยวไหว เดี๋ยวนิ่ง เดี๋ยวขยับ ดูไป เห็นไป เป็นกิจวัตร

เพราะเดี๋ยวมันก็เพลินอีก เดี๋ยวมันก็ละทิ้งงานอีก ละทิ้งหน้าที่ยามอีก ชั่งมัน ...อ่ะไปอีกแล้ว รู้ใหม่ นี่ สติเกิด เห็นต่อ เห็นกายต่อ สัมมาวายาโม พากเพียร ทำแบบเดิมนี่แหละ เจริญแบบเดิมนี่แหละ

ไม่มีอะไรเร็ว ไม่มีอะไรช้ากว่านี้แล้ว  ไม่มีอะไรดี ไม่มีอะไรผิด ไม่มีอะไรถูกกว่านี้แล้ว ...มันได้แค่เนี้ย 

อย่าไปเพ้อเจ้อกับความคิด มีชีวิตเพื่อรอคอยข้างหน้า มีชีวิตเพื่อธรรมที่จะถึงข้างหน้า ฝันหวาน ...ให้เห็นความสลายของฝันไป เป็นขณะๆ ไป มันจะได้หายเพ้อเจ้อไปกับเงาของจิต

ไม่รู้อะไร ไม่เห็นอะไร ...ก็เห็นกายไว้ รู้กายไว้ รู้กายที่ไม่เป็นกาย รู้กายที่เป็นแค่ความรู้สึก รู้กายที่เป็นแค่ก้อนๆ เป็นกอง เป็นก้อน เป็นทึบ เป็นตึงๆ เป็นมวลๆ เป็นกองหนึ่งของอะไรก็ไม่รู้ 

นี่ ดูไป ให้นานให้เนื่อง ตามกำลัง ...หลงใหม่ ก็ชั่งมั่น รู้ใหม่  หลงอีก รู้ใหม่ ชั่งมัน ทำอย่างนี้ อย่าเบื่อ ความเบื่อมันจะเกิดขึ้นตามมา...จากที่เราหาอดีตหาอนาคตแล้วยังไม่เจอ มันจะเบื่อปัจจุบัน มันเพ้อเจ้อ

เผลอเมื่อไหร่ก็รู้เมื่อนั้น รู้เมื่อไหร่ก็เห็นต่อเนื่องไปตามกำลัง แค่นี้แหละ ได้คุณค่าสูงสุดแล้ว ...คุณค่ามันสูงสุดที่ตรงนี้ ไม่ใช่เวลาใดเวลาหนึ่ง วันไหนวันหนึ่ง สภาวะใดสภาวะหนึ่งโดยรอบ

ไม่ต้องห้ามหลงไม่ต้องห้ามอะไร มันหลงเมื่อไหร่ก็รู้เมื่อนั้นน่ะ รู้ใหม่ก็นับหนึ่งใหม่ นับหนึ่งใหม่ๆ ชั่งมัน ละอดีตละอนาคตไป ...ไม่ได้อะไร ไม่เอาอะไร 

มันอยากได้อะไร อยากเอาอะไร บอกมัน ด่ามัน...ไม่เอา ไม่เชื่อ ไม่ฟัง ...นั่น มันต้องกำราบซะบ้าง อย่าไปยกยอชูหางมัน ความปรุงแต่งในธรรม ความประณีตในธรรม 

เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น รู้ไปเห็นไปในปัจจุบันนี่แหละ ก่อร่างสร้างฐานให้มั่นคงชัดเจน...ว่าปัจจุบัน  ปัจจุบันคืออะไร อะไรคือปัจจุบัน ปัจจุบันมีอะไร ปัจจุบันเป็นอะไร ไปมีไปเป็นอะไรกับปัจจุบันมันทำไม

ให้มันเห็นซ้ำซากๆ ...อะไรนั่งๆ ใครเป็นคนนั่ง มีใครนั่ง  ดูมันไป นั่งเป็นของใคร มีชื่อมั้ย ดูไป ดูตรงไหน จับตรงไหนในปัจจุบัน เห็นตรงไหนในปัจจุบัน มันเป็นไตรลักษณ์ทั้งนั้นแหละ

แม้จะไม่เห็นเกิดดับ ...อะไรมันตั้งอยู่ล่ะ มันเป็นของใครล่ะ มันมีตัวมีตนมั้ยล่ะ มันมีสัญลักณ์บ่งบอกมั้ย ว่าถูกว่าผิด ว่าคุณว่าโทษน่ะ เนี่ย ปัจจุบันไหนก็ปัจจุบันนั้น ไตรลักษณ์ทั้งนั้น

ไม่ก็วูบๆ วาบๆ ดูมันไป เห็นอะไรก็ได้ ยักย้ายถ่ายเท สลับสับเปลี่ยนหมุนวนสลับวนอยู่อย่างนั้นแหละ ...ให้ดูอาการของขันธ์ห้าตามความเป็นจริงในปัจจุบัน ซ้ำลงไปๆ ย้ำลงไป อย่าหนี

ผลมันก็คือความเป็นกลาง ความปล่อยวาง ...คำว่าปล่อยวางนี่ คือปล่อยวางเจตนาในขันธ์ ...ไม่ได้ปล่อยหรือไปดับขันธ์ แต่ปล่อยวางขันธ์ 

ปล่อยวางที่จะเข้าไปมีเจตนาในขันธ์ ปล่อยวางเจตนาที่เป็นกุศล อกุศล ในขันธ์ ...ทั้งพอใจ ทั้งเสียใจ ทั้งจะให้มี ทั้งจะให้ไม่มี ในขันธ์นั้นๆ ...จนมันเกลี้ยงน่ะ เกลี้ยง 

หมดซึ่งความอยาก-ไม่อยากภายใน หมดการทะยานไปทะยานมา ...ใจรู้ใจเห็นก็จะเข้าคืนสู่ภาวะราบเรียบ เหมือนความว่างในอากาศธาตุ มันอยู่ในภาวะปกติธรรมดาเท่านั้นน่ะ คืนสู่ความเป็นวิสุทธิจิต

เพราะธรรมชาติของใจเดิมใจแท้ ใจแรกใจต้น คือความเป็นวิสุทธิ เป็นกลาง อยู่ไหนก็ได้ ในทุกอณูของสสาร เป็นที่รองรับของทุกสรรพสิ่ง โดยไม่มีอาการไหวติงนิ่งขยับ

อย่าว่าแต่ขยับเลย นิ่งยังไม่มีเลย ...อนัตตจิต อนัตตธรรม เกินบรรยาย เกินจินตาหรือสุตตะใดๆ ที่จะไป naming หรือ meaning กับมัน

อาศัยใจเรียนรู้ปัจจุบัน เห็นปัจจุบัน จนหมดสิ้นซึ่งความสงสัยว่าปัจจุบันนี้คืออะไร ...เมื่อมันหมดสงสัยในปัจจุบันแล้วไม่ต้องถามถึงอดีตอนาคตแล้ว 

เพราะความไม่รู้ในปัจจุบันนี่แหละ เป็นเหตุให้สร้าง ให้เกิดอดีตและอนาคต ...เพราะนั้นถ้ามันแจ้งกับปัจจุบันน่ะ ไม่ต้องกลัวอดีตอนาคตแล้ว...ไม่มีหรอก 

ให้เห็นว่าอะไรนั่งในปัจจุบัน อะไรปรากฏผุดโผล่ในปัจจุบัน มันเป็นใคร มันเป็นของใคร ...ไม่ต้องคิด ไม่ต้องถาม ... ดู เห็น รู้เห็น เป็นปกติ 

เขาแสดงธรรมในตัวของเขาเอง แสดงความเป็นจริงในธรรมด้วยตัวของเขาเอง แสดงความเป็นไตรลักษณ์ด้วยตัวของเขาเอง

ไม่ต้องไปเร่งกระบวนการใดๆ กับมัน มันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยอันควร  แม้ไม่ดับ มันก็ตั้งด้วยความไม่มีความหมาย  การตั้งอยู่ก็เป็นการตั้งในลักษณะอนัตตา ไม่มีตัว ไม่ใช่ใคร ไม่เป็นของใคร

ความชัดเจนในธรรม ความลึกซึ้งในธรรม การเข้าไปยอมรับในธรรมบังเกิดเอง...เมื่อถึงพร้อมด้วยศีลสมาธิปัญญาที่พอดีกับปัจจุบัน

การปฏิบัติมันก็จะง่าย ...ไม่ใช่ของยาก ไม่ใช่ของที่จะต้องไปค้นไปแสวงหา ไม่ใช่ของที่จะต้องไปสร้างไปทำขึ้นมา ไปเรียกร้อง ไปร้องขอ

ก็จะเห็นว่าการกระทำทั้งหมดเป็นแค่ปัจจัยเบื้องต้นเท่านั้น ไม่ใช่หลัก ยังไม่ใช่หลัก ...แต่เห็น แต่ชัดเจนว่าหลักมีหลักเดียว คือกายใจปัจจุบัน 

นั่นน่ะเป็นหลัก เอากายใจปัจจุบันเป็นหลัก ไม่ออกนอกหลัก ...จนมันเชื่อ จนมันชัดเจนในหลักว่ามีหลักเดียวเท่านั้น ไม่มีหลักอื่น ไม่มีที่อื่น

ความหลุดพ้นในเบื้องต้นปรากฏเอง การก้าวข้ามความสงสัยบังเกิดเอง การเห็นกายเป็นกาย เห็นจิตเป็นแค่จิต เห็นกายเป็นแค่กาย เห็นใจเป็นแค่ใจ...บังเกิดเอง

ตั้งหลักให้ดี ที่ไหนก็ได้ ยังไงก็ได้ ...หลักกายใจ รู้กายรู้ใจ เห็นกายเห็นใจ เห็นสิ่งที่ปรากฏขึ้นที่กายที่ใจ ทุกอย่างล้วนลงในปัจจุบันเท่านั้น การปฏิบัติก็จะชัดเจนขึ้นมา

ที่มันไม่ชัด ที่มันยังสงสัย ...เพราะมันส่ายไปในอดีตอนาคต เพราะมันยังไปคาดไปหวังในอดีตอนาคต เพราะมันปฏิเสธที่ปรากฏในปัจจุบัน 

เพราะนัั้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในปัจจุบันนั้น จะร้าย จะดี จะน่าหงุดหงิด จะน่ารำคาญ จะอะไรก็ตาม จะไม่ดั่งที่เราต้องการ ไม่เป็นอย่างที่เราคาดก็ตาม...ชั่งมัน อยู่แค่รู้กับเห็นไป 

ความเข้มแข็ง ความเด็ดเดี่ยว ความตั้งมั่น เกิดเอง...จากการที่เราปฏิบัติเช่นนี้ ใจมันจะเกิดความพอดีทุกปัจจุบันไป


โยม –  พระอาจารย์เจ้าคะ ฟังอย่างนี้น่ะ มันเห็นตัวอธิบายขยายความเข้าใจในสิ่งที่พระอาจารย์ได้ถ่ายทอดออกมา  อันนี้ก็ทำเหมือนรู้เห็นในการที่มันเอาตัวเข้าใจตัวนั้นอย่างนี้

พระอาจารย์ –  ดูอาการไป มันแสดงยังไงก็รู้ไปเห็นไป ...มันไม่ได้เกิดจากเจตนานี่ ใช่มั้ย มันเป็นของมันเองใช่มั้ย


โยม –  เจ้าค่ะ

พระอาจารย์ –  เรื่องของมัน ไม่มีถูก ไม่มีดี ไม่มีร้าย ...เดี๋ยวมันก็เปลี่ยน เดี๋ยวมันก็ดับ อาการทุกอาการน่ะ เกิดตรงไหนดับตรงนั้นแหละ ...มันก็ดับ อย่าไปหมักหมมกับมัน หรือเอามันมาหมักหมมในใจ

มันหมักหมมไม่ได้หรอก เพราะอะไร เพราะมันเป็นของที่หมักหมมไม่ได้ แต่มันคิดว่าได้ ...ความเป็นจริงมันหมักไม่ได้ มันดับตรงนั้นน่ะ มันดับไปแล้ว นั่นแหละ มันก็ดับไปเลย

ให้มันเห็นอย่างนั้น ความดับไปในปัจจุบัน...บ่อยๆ จนใจมันเชื่อมั่นจริงๆ ว่ามันดับจริงๆ ในปัจจุบัน ...ดับแบบไม่คืน ฟื้นไม่มี หนีไม่พ้น หายไปแล้วไปลับไม่กลับไม่ตื่น

นั่นแหละธรรม ให้มันเห็นอย่างนั้น ให้มันเชื่ออย่างนั้น ...ให้มันเห็นความเกิดดับจนมันเชื่อเลยน่ะ ว่ามันดับจริงๆ ไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่เลย ... นี่ มันดับ 

ไม่ใช่หมายความว่าพระอรหันต์เท่านั้นถึงจะเห็นความดับได้ ... นี่ ต้องเห็นความดับไปทุกคนไป ว่าดับจริง ...เกิดจริง - ดับจริง


โยม –  ถ้ามันไม่มีทวารทั้ง ๖ ที่จะออกเป็นประตูรับรู้แล้ว ตัวสติสัมปชัญญะนั้นจะยังมีไหมเจ้าคะ

พระอาจารย์ –  มี มันก็อยู่ที่รู้เห็นน่ะ รู้เห็นกับสิ่งที่เป็นสักแต่ว่า ไม่ไปหมาย ... เห็นมั้ยเนี่ย ต้นไม้น่ะ ระหว่างพูดนี่ ฟังมานี่ ก็เห็นมาตลอด แต่ไม่เห็นรู้สึกอะไรกับมันเลย


โยม –  เจ้าค่ะ

พระอาจารย์ –  นั่นแหละ มันไม่ไปหมายกับอะไร ว่าถูกว่าผิด ว่าดีว่าร้าย ว่าจริงหรือไม่จริง เข้าใจมั้ย ...มันก็เห็นเป็นสักแต่ว่าภาพที่เห็นเท่านั้น ไม่มีอารมณ์ในสิ่งที่เห็น ไม่มีความหมายในสิ่งที่เห็น 

เพราะนั้นทวารน่ะ มันเปิดอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว ...แต่ว่าใจมันก็อยู่ที่รู้ที่เห็น ไม่เกี่ยวกัน ไม่เอามาเกี่ยวกันด้วยความไม่รู้ 



................................




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น