วันเสาร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2558

แทร็ก 5/18 (2)


พระอาจารย์
5/18 (540915B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
15 กันยายน 2554
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ :  ต่อจาก แทร็ก 5/18  ช่วง 1

พระอาจารย์ –  เอาให้สติมันนั่งเฝ้ายามจนตายคาประตูนั่นแหละ  ดูซิ มันจะมีอะไร ...ทั้งหมดน่ะเป็นของว่างเปล่าหมดแหละ เป็นแค่ภาพมายา หรือมายาของจิต หรือเป็นพฤติจิต พฤติขันธ์เท่านั้น

เอาให้มันเห็นได้ขนาดนั้นเลย...ว่ารู้แจ้งเห็นจริงในธรรมทั้งปวง ไม่ไปไม่มาอีกแล้ว ...เป็นที่อันเดียว เกิดตายที่เดียว ไม่มีที่ให้เกิดที่ให้ตายหลายที่

เห็นมั้ย ถ้าลุกจากตรงนี้ไป หน้าประตูไปนี่ มันก็ไปตายตรงนั้น ไปตายกับเขา ไปตายกับสัตว์นั้น บุคคลนั้นๆ ความเชื่อนั้นๆ ความเห็นนั้นๆ อารมณ์นั้นๆ ความรู้สึกนั้นๆ สภาวะนั้นสภาวะนี้ 

ตายหมดน่ะ ก็ไปเกิดตายกับเขาน่ะ มันมีที่เกิดที่ตายเยอะแยะนะ ...เอาให้มันตายที่เดียวเกิดที่เดียว คือนั่งอยู่หน้าประตู เอามันจนตายน่ะ 

จึงรู้ว่าชีวิตน่ะ มันมีชีวิตเดียว ...กายเดียวจิตเดียว เอโกธัมโม เอกังจิตตัง ธรรมอันเดียว จิตอันเดียว เกิดตรงไหน ตายตรงนั้น ไม่ไปไม่มา ไม่ไปหาไม่ไปเพิ่มไม่ไปลดอะไรน่ะ

จึงสมที่เรียกว่าผู้ปฏิบัติธรรม ...ไม่ใช่ผู้หาธรรม ไม่ใช่ผู้แสวงธรรม ไม่ใช่เป็นผู้จัดสรรธรรม ...แต่เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อรู้เห็นธรรมตามความเป็นจริง 

ปัจจุบันคือใคร ปัจจุบันของใคร ปัจจุบันเที่ยงมีหรือไม่มี ปัจจุบันเป็นหรือไม่เป็น ...นั่นแหละ มันมาเห็นความเป็นจริงในปัจจุบัน ทั้งหมดน่ะคือปัจจุบัน...เท่านั้นน่ะ ไม่มากแล้วก็ไม่น้อย ...มันพอดี 

ถ้ามันปรากฏ เดี๋ยวนี้ๆๆ มันมีอะไร...มีความพอดี ...เสียง พอดี ไม่มีมากกว่านี้ แล้วก็ไม่น้อยกว่านี้ ...ถ้าไม่พอดี แปลว่าอดีต แปลว่าอนาคต แปลว่าอุปาทานทุกข์...มาแล้ว จะมาแล้ว กำลังจะมาแล้ว 

แล้วเดี๋ยวจะไปแล้ว ...ไปยังไง มือ...ไป ตีน...ไป ปาก...ไป คิด...ไป อารมณ์...ตามไป ไปแล้วไปลับ ไม่กลับไม่ฟื้น ...ไปเลย ถูกไล่ออกจากยาม นั่นแหละไปเลย

ทั้งหลายทั้งปวงนี่ ต้องมาเห็นอยู่กับปัจจุบัน...เท่านั้น ...เพราะความเป็นจริงมีแค่ปัจจุบัน 

ความเป็นจริงไม่ใช่ที่บ้าน ความเป็นจริงไม่ใช่ที่ทำงาน ... ความจริงคืือ...เดี๋ยวนี้ กระดูกทับก้นน่ะรู้มั้ย อากาศร้อน ตัวเรานี่รู้มั้ย มันมียังไง มันเป็นยังไง

นี่ ท่านให้อยู่ “ตัตถะ...ตัตถะ” ...แล้วจะเข้าใจในที่อันเดียวนี้ ปัจจุบันนี้ ...ว่าทั้งหมดนี่คือทุกขสัจ 

เข้าใจคำว่าทุกขสัจมั้ย ...คือสิ่งที่ปรากฏตั้งอยู่ในปัจจุบัน ท่านเรียกว่าทุกขสัจ ...กายก็เป็นทุกขสัจ รูปที่เห็นก็เป็นทุกขสัจ เสียงที่ได้ยินก็เป็นทุกขสัจ โผฏฐัพพะที่ล้อมรอบก็เป็นทุกขสัจ 

แต่ถ้ามีว่า “ถ้ามีเสียงเพลงหน่อยล่ะดีเลย” นี่ ทุกข์อุปาทาน เห็นมั้ย พอมันเกินจากเดี๋ยวนี้นะ “ถ้ามีเสียงนะ ดีหน่อย จะดีเลย” 

เนี่ย มายาของความไม่รู้มันแล่นออกไปอนาคต มันก็สร้างความหมายมั่นข้างหน้า ว่าจะเป็นสุขขึ้น ...นี่เรียกว่าทุกข์อุปาทานเกิด เกิดจากการออกจากความพอดีในปัจจุบัน

“นี่ถ้าฝนตกหน่อยก็ดี” นี่อุปาทานเกิด ...ก็มันไม่ตกน่ะตอนนี้  แต่มันไม่พอใจ ตัณหาเกิด วิภวตัณหาเกิด มันก็ปรุงน่ะ ปรุงขึ้นมาเป็นภาพ เป็นมโนวิญญาณ เป็นมโนสังขาร 

เห็นมั้ย อวิชชา...ปัจจยาสังขารา ปัจจยานามรูป ปัจจยาผัสสะ ปัจจยาตัณหา ปัจจยาอุปาทาน

นี่ เริ่มก่อนน่ะ “ร้อนจัง” ...ปรุงแล้ว หาแล้ว จะมีแล้ว หาทางมีแล้ว หาทางเป็นแล้ว ...หาทางเป็นอะไร เป็นสุข...วงเล็บทุกข์อุปาทานทับ ...แต่มันไม่รู้ มันก็เรียกว่าสุข มันเรียกอย่างเดียวว่าสุข มันจะหาสุข

ถ้ายังไปไม่ได้ มันก็เป็นแค่ปรุงฟุ้งซ่าน ...พอไปได้ปั๊บ กายสังขารตาม ขาก็ก้าวเดินไป ขึ้นรถขับไป ...เนี่ย กายสังขารมา พาไป ในภพที่คาดไว้ล่วงหน้าในใจ เพื่อจะหาสิ่งที่ดีกว่านี้ 

ชาติ ชรา พยาธิ ก็ไปปรากฏตอนที่เข้าไปเสวย สุข-ทุกข์เกิดตามมา เป็นอุปาทาน

แต่มันลืมไปหมดว่าปัจจุบันนี้ เป็นสิ่งที่เลือกไม่ได้ ไม่สมควรเลือก เพราะเลือกไม่ได้ ...นี่ มันเลยไม่เห็นอริยสัจ เลยไม่เห็นทุกขสัจ ว่าทุกสิ่งนั้นเป็นทุกขสัจอย่างไร มันเลยไม่เข้าใจมรรค

ที่พระพุทธเจ้าบอกว่าให้รู้ทุกข์...ทุกข์ให้รู้ คือทุกขสัจ ไม่ใช่ทุกข์อุปาทานอย่างเดียว ...คือสิ่งที่อยู่ตรงนี้ เดี๋ยวนี้ๆ ทุกอย่างนี่คือทุกขสัจ ท่านให้รู้ นี่เรียกว่ามรรค

แต่ด้วยใจที่ไม่รู้ภายใน มันเกิดความไม่พอใจเดี๋ยวนี้ปัจจุบันนี้ ...มันอยาก มันไม่อยาก 

เนี่ย ระหว่างที่เรารู้กับทุกขสัจ แล้วมันเห็นอยู่ในมรรคนี่ มันก็จะเห็นว่า ไอ้ใจภายในที่ไม่รู้นี่ มันยังปรุง หาทาง ...มันก็จะเห็นตรงนี้ปรากฏขึ้นมาเป็นสมุทัย

ก็ถ้ามันอยู่เป็นยามน่ะ มันจะมีตรงไหนที่มันจะไม่เห็น ...นอกจากไม่เป็นยาม คือไม่มีมรรค ไม่อยู่ในมรรค มันก็ไม่เห็นว่าอะไรมันเกิดตอนไหน ...นี่ มันต้องเห็น

ถ้าเห็นแล้วจะเชื่อมันได้อย่างไร ใช่มั้ย มันก็ละ ...พระพุทธเจ้าบอกให้ละ ก็คือ จาโค ปฏินิสสัคโค สละ วาง ปล่อย ดับ ตัด ให้หลุดให้พ้นจากมัน ...นี่ ตัณหา ท่านไม่เอาไว้เลยนะ อะไรที่มันผุดมันโผล่ขึ้นน่ะ

เพราะนั้นบางครั้งพวกเราไม่เห็นหรอกว่ามันอยากหรือไม่อยาก แต่มันกลายมาเป็นความคิด มันกลายมาเป็นอารมณ์ คือมันผสมเสร็จมาแล้ว นี่ยังไม่รู้เลยว่ามันอยากหรือเปล่า หรือไม่อยาก 

แต่บอกไว้เลยว่า เนี่ยแหละเป็นผลสืบเนื่องจากความอยากและไม่อยาก ...แต่ปัญญายังไม่ละเอียดพอ มันไม่เห็นความอยากหรือไม่อยาก มันก็ว่าเป็นแค่ความคิด 

นั่นแหละ โคตรมัน แต่มันออกมาเป็นเหลน เอ้า ก็เลยออกมาเป็นรูปร่างของความคิด ...คือมันปรุงมาจนเรียบร้อยแล้ว ...แล้วยังไง ...ก็ดูเฉยๆ อยู่เฉยๆ เป็นยามนี่ 

ก็จะเห็นทุกขสัจที่ปรากฏ...ตรงนี้ถือว่าเป็นทุกขสัจอีกแล้ว ...คือมันปรากฏในปัจจุบัน อะไรก็ตามที่ปรากฏขึ้นในปัจจุบันน่ะ ไม่ว่าข้างนอก ไม่ว่าข้างใน คือทุกขสัจ 

อย่าไปยุ่งกับมัน รู้ไว้ๆ ...เออ แล้วเป็นยังไง ...ไม่เป็นยังไง ก็เป็นไตรลักษณ์ สุดท้ายก็เป็นไตรลักษณ์ คือดับไปเอง ไม่มีใครดับ ไม่มีใครทำให้เกิด มันดับเอง

เมื่อใดที่อยู่ในมรรค แล้วก็รู้ทุกข์ตามความเป็นจริง มันก็จะเห็นแต่ไตรลักษณ์เท่านั้นแหละ เป็นที่สุดท้าย ...นี่คือปัญญาเกิด สบายดี นี่คือผล มันเบาๆ ไม่เห็นมีอะไรเลย สบายดี...นิโรโธ

ต่อไปเมื่อมรรคมันตั้ง มันอยู่ในทาง มันชัดเจน มันละเอียดลออ มันถี่ถ้วน มันแยบคาย มันประณีตขึ้น ...มันก็จะเห็นแค่อาการขยับนิดนึงของจิต 

ยังไม่ทันรู้เลยว่าเป็นความคิดรึเปล่า เป็นอารมณ์รึเปล่า เป็นความรู้สึกรึเปล่า เป็นความเห็นรึเปล่า ไม่รู้ ...แต่แค่ขยับ...ดับเลย

นี่ ชีวิตเรามันเลยสั้นมาก...ขณะเดียว เห็นความเกิดดับขณะเดียว เห็นจิตเกิดดับขณะเดียว ...ที่มันมาจากไอ้ใจไม่รู้นี่แหละ มันออกมาเป็นจิต

แต่ด้วยสติสมาธิปัญญาหรือว่าอยู่ในมรรค แล้วก็รู้ทุกขสัจโดยต่อเนื่อง มันก็เห็นแค่ชั่วลัดนิ้วมือ ก็เห็นจิตเกิดดับ ...ดับแล้วไปไหน ดับแล้วก็เป็นว่าง ดับแล้วก็ไม่มีอะไร ดับแล้วก็มีแต่รู้กับเห็น

เหลือแต่รู้กับเห็นๆ มีอะไรก็รู้เห็น...แล้วก็ดับ มีอะไรรู้เห็นแล้วก็ดับ ...ไม่เห็นได้อะไรเลยๆ ไม่เห็นเป็นอะไรเลย ไม่เห็นมีขั้นภูมิอะไรเลย มันมีแค่นั้น ...แค่เห็นทุกสิ่ง...เกิดตรงนั้นดับตรงนั้นๆๆ 

บางคนยังมาถาม...ไอ้รู้เห็นอย่างนี้ มันลงฐานรึยัง มันรู้เห็นตรงไหนถึงจะเป็นฐาน ...นี่ สงสัยอีกๆ คือมันเห็นหมดน่ะ มันไม่เห็นอยู่อย่างเดียวว่ามันสงสัย (หัวเราะกัน) มันยังสงสัยอีกว่าไอ้รู้เห็นนี่มันใช่รึเปล่าวะ

เป้าหมายไม่ใช่รู้เห็นอะไร...เป้าหมายคือมันรู้เห็นอะไรแล้วมันเห็นความเกิดดับมั้ย ...มันจะไปรู้เห็นที่อเวจีมหานรก หรือรู้เห็นไปอยู่ที่พรหมโลกก็ตาม ...มันเห็นเกิดดับมั้ย

จะไปสงสัยทำไมว่ารู้เห็นถูกรึเปล่า มันใช่มั้ยที่ไอ้ตรงรู้เห็นตรงนี้ๆๆ ...มัวแต่มาจับว่าจะต้องรู้เห็นอยู่ที่ฐานเท่านั้น จะไปฐานไหนถึงถูก อะไรอย่างนี้ 

มันรู้เห็นตรงไหนก็ได้ แต่มันรู้เห็นอะไรล่ะ ...มันเห็นไตรลักษณ์มั้ย มันเห็นความตั้งเองดับเองมั้ย ...มันจะไปรู้เห็นตรงนู้นตรงนี้ตรงไหน จะไปสงสัยทำไม

เคยอ่านหนังสือพิมพ์มั้ย ...สงสัยมั้ยทำไมมันฆ่ากัน ทำไมมันโกงกันได้ยังไง เสียงรถมา “ทำไมมันถึงวิ่ง” ...คือมนุษย์นี่ เอะอะ มันสงสัยไปหมด ...มันจะสงสัยไปทำไม 

“ทำไมเขาทำอย่างนั้นนะ ทำไมน้ำมันพืชมันแพง” ขนาดน้ำมันพืชแพงยังสงสัยเลย “ทำไมเขาเอาของไม่ดีมาหลอก ทำไมไอ้คนนี้มันทำกริยาอาการนี้” สงสัยอีก “พ่อแม่มันสอนมารึเปล่า” 

สงสัยทุกเรื่องนะนั่นน่ะ ...แล้วสงสัยทำไม จะไปสงสัยแล้วได้อะไร ...มันได้มรรคผลมั้ย มันจะได้มรรคผลมั้ยถ้าทำให้มันหายสงสัยน่ะ

แล้วมันจะมีเรื่องให้หายสงสัยได้กี่เรื่องล่ะ ...แค่อ่านหนังสือพิมพ์นี่ สงสัยกับสงสัย แล้วก็สงสัย “ทำไมมันไม่เป็นคนนั้น ทำไมถึงทำอย่างเนี้ย ทำไมๆๆๆ” มันสงสัยไปหมด

การภาวนานี่ ไม่ได้ทำให้มันหายสงสัยด้วยวิธีใดก็ตาม ...แต่ให้ละความสงสัยไป คือให้เห็นว่าสงสัย ให้เห็นว่าปัจจุบันนี้กำลังสงสัย ...แล้วใครล่ะที่เห็นความสงสัย  

มันจะไปอยู่ที่ไหนไม่รู้...แต่รู้เห็นว่ากำลังสงสัย นั่นแหละใจ ...มันจะอยู่ตรงไหนก็ชั่งหัวมัน แต่มันเห็นมั้ยล่ะว่ากำลังสงสัย นั่นแหละใจ อยู่ที่ฐาน ...ฐานไหนก็ไม่รู้ หาก็ไม่เห็น

ถ้าจะมานั่งหาใจน่ะ หาจนตายก็ไม่เจอ ...แต่ถ้าอยากเจอก็ให้เห็นว่ากำลังหา ถ้าไม่เห็นว่ากำลังหาก็จะหาใจไม่เจอ ...เพราะใจมันกลายเป็นผู้หา ไม่ใช่กลายเป็นผู้เห็น

ไอ้ผู้หานั่นแหละคือรากเหง้าของความสงสัย และความสงสัยนั่นแหละคือมลทินแรกของปุถุชน 

สงสัย ...มันเป็นสันดานเริ่มต้นของมนุษย์ มันสงสัยไว้ก่อน พ่อแม่ก็ไม่ได้สอน แต่จิตมันสอนเอง ...มันเป็นธรรมชาติของความไม่รู้ เห็นมั้ย มันไม่รู้ มันเลยสงสัย

แต่พระพุทธเจ้าบอกว่านี่ไม่ใช่ นี่เป็นส่วนเกิน แต่มันแอบแฝงจนเป็นปกติสันดาน พระพุทธเจ้าบอกว่าเป็นอนุสัยหรืออาสวะ ...จนรู้สึกว่าชาตินี้เราจะออกจากความสงสัยไม่ได้เลยน่ะ

พระพุทธเจ้าบอกออกได้...ด้วยสติ สงสัยรู้ว่าสงสัย กำลังหารู้ว่ากำลังหา ...นี่ มีวิธีแก้อย่างเดียว รู้ไปตรงๆ ให้ใจมันเห็นตรงนั้นน่ะ อะไรเกิดตรงไหน เห็นตรงนั้นน่ะ 

ไม่เลือกที่เห็น ไม่เลือกที่รัก ไม่มักที่ชัง ไม่มีอภิสิทธิ์กับอะไร ไม่มีอาการไหนมันเป็นอภิสิทธิ์ว่านี่เป็นทางให้เกิดมรรค หรือว่าถ้าหายสงสัยในเรื่องนี้แล้วจะสบาย เกิดความแจ้งในมรรคหรือวิธีการรักษาใจ

จะไปรักษาได้ยังไง...ใจน่ะ ไม่ต้องรักษาใจ ...รักษาสติ หรือเจริญสติ ...สติอยู่ไหน ใจอยู่นั่น เอาไว้ก่อน พ่อสอนไว้ อันนี้พ่อสอน พ่อคือพระพุทธเจ้า มีสติที่ไหนใจอยู่ตรงนั้นแหละ

ไม่ต้องหา ...ไอ้คนที่เห็นนั่นแหละ ไอ้คนที่เห็นน่ะ มันมีตัวเห็นนั่นน่ะ เห็นอาการ ...ตอนนี้ก็มี เห็นมั้ยล่ะ กำลังนั่งเห็นมั้ย กำลังตึง เห็นมั้ย เห็นตึงมั้ย เห็นเสียงมั้ย เห็นอารมณ์มั้ย

เห็นเข้าไป อะไรก็ตาม ไม่ต้องเลือกน่ะ  ไม่มีอะไรก็เห็น กำลังหาก็เห็นว่ากำลังหาอะไรอะไรดูอยู่ ...เนี่ย มันก็อยู่ในปัจจุบันนี้แหละ


(ต่อแทร็ก 5/19)




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น