วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2558

แทร็ก 5/14


พระอาจารย์
5/14 (540804C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
4 สิงหาคม 2554


พระอาจารย์ –  ยังภาวนาอยู่ไหม

โยม –  ช่วงหลังๆ นี่หนูทำงาน  แต่ว่าในหนึ่งวัน หนูต้องทำน่ะค่ะ พอนึกขึ้นได้ก็จะทำ  แล้วก็ช่วงประมาณเดือนนึงให้หลังนี่ มันเริ่มแบบ...จากที่เคยเห็นเป็นกระดูก เป็นชิ้นเป็นอัน  มันเริ่มหัก เริ่มร้าวขึ้นทุกวันๆ บางทีก็เห็นแขนในกระดูกเป็นแบบรอยแตก บางทีก็เริ่มดำเหลือง 

แล้วก็ถ้าเกิดอย่างนั่งว่างๆ ไม่ได้ทำอะไร หนูก็จะหลับตา แล้วไม่รู้...คิดว่ามันคงจะเป็นการภาวนาของหนูเหมือนกัน  แต่พอหลับตาไปแล้วรู้สึกว่ามันเป็นก้อนอะไรไม่รู้ อยู่ตรงนี้ ตรงแถวหน้าผากแถวอะไร แต่ก็รู้สึกตัวว่า เออ หัวใจเต้น รู้สึก แต่ก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร 

ก็คิด...บางทีก็คิดหาคำตอบ แล้วก็ เออะ อย่าไปคิดมันเลย ก็ทำไป  ก็เห็นอยู่อย่างนั้นตลอด ... ก็ยังไม่รู้มันเป็นอะไร ไม่รู้ว่าถูก มาทางถูกรึเปล่า


พระอาจารย์ –  ถูก มันเป็นอย่างนั้นแหละ ...ก็ดูไป ดูอาการที่ทำมันแสดงให้เห็น

โยม –  แต่ก็พยายาม  บางทีลืม...ก็พยายามเรียกตัวเองกลับมา

พระอาจารย์ –  กลับมา ให้มันระลึก คืนมาที่กาย

โยม –  ถ้ามันไม่วุ่นวายจริงๆ ก็ทำตลอดค่ะ

พระอาจารย์ –  อือ อย่าลืม


โยม –  นึกขึ้นได้ ล้างจานนึกขึ้นได้ก็ทำ ก็ไปดูแขนตัวเอง ฮู้ ทำไมแขนหัก ก็ดู ...แต่ว่าไม่เห็นของคนอื่นว่าเป็นยังไง อย่างนี้น่ะค่ะ

พระอาจารย์ –  ดีแล้ว ให้เห็นตัวเองมากๆ


โยม –  ตอนแรกๆ เห็นไปหมดเลย เห็นอะไรใครเดินมาก็เห็นไปหมด หมาแมวก็เป็นกระดูกกระเดี้ยวเลย  แต่หลังๆ มานี่ไม่เห็นแล้ว ... ตอนหลังมานี่หนูไม่ค่อยได้แบบทำจริงจังมากเท่าไหร่ เมื่อก่อนนี้จะนั่งเป็นชั่วโมงๆ เป็นวัน เป็นทั้งวัน แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อย

พระอาจารย์ –  อือ ให้ทำในอิริยาบถมากๆ อิริยาบถปกติ มากๆ


โยม –  ค่ะ แต่เดี๋ยวนี้ก็เริ่มที่จะกลับมา นึกขึ้นได้ก็กลับมาดู

พระอาจารย์ –  เพราะนั้นว่าเวลากลับมาดูง่ายๆ ...ก็ดูความแข็งๆ น่ะ แล้วมันก็จะไล่ไปถึงกระดูกได้เลย  ความรู้สึกที่แข็งตรงไหนน่ะ...กระดูก  ที่เราเห็นกันอยู่นี่ กระดูกมันยัน ...ถ้าไม่มีกระดูกนะ มันเป็นเหมือนเนื้อบนเขียง


โยม –  บางทีนั่งอยู่ เอ้ย เห็นเป็นคอหลุดออกมา หัว...เส้นคอตรงนี้ค่ะ มันยังตั้งอยู่ แต่ว่ากะโหลกมันงึกลงมา

พระอาจารย์ –  ห้อย...อือ


โยม –  ก็ตกใจว่า...เอ๊ะ เป็นอะไร ... แล้วก็ช่วงหลังๆ นี่ ที่ว่ามีก้อนๆ อะไรมันอยู่ตรงนี้ ... หนูก็ไม่เข้าใจ ว่ามันคืออะไร

พระอาจารย์ –  ไม่ต้องไปรู้มัน


โยม –  มันหน่วงๆ ลักษณะมันเป็นก้อนๆ ... รู้ตรงนี้ แล้วก็มารู้ตรงนี้ด้วย  มันตุ้บๆ ยังไงบอกไม่ถูก

พระอาจารย์ –  แค่รู้ไป ดูไป ว่ามีอาการอย่างนี้  ไม่ต้องไปดีใจเสียใจ มันแสดงอาการธรรมใดให้เห็น ก็แสดงไป ดูมันไป ...เดี๋ยวมันก็ทำ เดี๋ยวมันก็เปลี่ยนไปเรื่อย

นี่สายพันธุ์กระดูก เรียกว่าพวกสายพันธุ์กระดูก (โยมหัวเราะ) ...วันนั้นก็มีมา อันนั้นเป็นอาจารย์ มช. เหมือนกัน ตอนนี้ไปเรียนต่อ นั่นก็สายพันธุ์กระดูกเหมือนกัน 

นั่งตรงไหนก็เป็นกระดูกหมด กระดูกไม่กระดูกเปล่า นั่งไปนั่งมาเดี๋ยวว่า มีอะไรไม่รู้มาขยุ้มเอาหนังออก แล้วก็ร้อยดึงเอ็นออกทีละเส้น ออกไปใส่โหลรวมกัน กระดูกก็กระจายหมดน่ะ... ไอ้นี่ก็พวกสายพันธุ์กระดูก (หัวเราะ)


โยม –  บางทีก็ เออ ทำไมอันนี้ยังมีเนื้ออยู่ แต่ท่อนนี้หายไปแล้ว เอ้าไปไหน ก็คิด ...พอคิดว่ามันไปไหน ก็เออ อย่าไปคิดเลย กลับมาดูเหมือนเดิมดีกว่า

พระอาจารย์ –  นั่นแหละ


โยม –  ความรู้สึกตอนนี้ แบบความรู้สึกตามอะไรมันไม่ค่อยจะมี  บางทีเขาเล่าเรื่องตลกมา...ไม่ตลก ไม่รู้สึก ไม่อยากหัวเราะไม่อยากอะไร เฉยๆ ไปแล้ว

พระอาจารย์ –  ดู ธรรมกระดูกไป เพราะว่าธรรมกระดูกจะแสดงความเป็นไตรลักษณ์ให้เห็นไปเรื่อยๆ ... เพราะนั้นความเป็นที่สุดของไตรลักษณ์คือความเป็นอนัตตา 

เพราะนั้นในธรรมกระดูกของอนัตตาคือความดับ เห็นความแตก ความดับ ความหารูปทรงรูปร่างตัวตนที่แท้จริงของมันไม่มี ในความเป็นกระดูก ...ธรรมก็แสดงไปเรื่อยๆ ในความเป็นไตรลักษณ์ 

ไม่ต้องไปดีใจเสียใจ ...มันแสดง มันปรากฏยังไง รู้สึกยังไง มันจะหาย มันจะขาดกัน หรือมันจะแตก หรือมันจะป่น หรือมันจะรวมขึ้นมาใหม่ หรือว่ามันจะเป็นแก้วเป็นเพชรอะไรขึ้นมา 

มันก็แสดงความเป็นไตรลักษณ์ทั้งสิ้นให้เราเห็น...ในความเป็นกระดูกนั้น ...แต่ในขณะเดียวกัน เราก็เกิดความเข้าใจลึกๆ ว่าตัวเราไม่ได้สวยไม่ได้งาม ไม่ได้วิเศษเลิศเลอเกินกว่ากระดูกก้อนหนึ่งกองหนึ่งเท่านั้นเอง  

ทำไมถึงมาถือตัวถือตนนักหนา ทำไมถึงมารักษาหวงแหนก้อนกองกระดูกบ่ดายอันนี้ ก้อนกองแข็งๆ นี่ มาทะเลาะเบาะแว้งกันเพื่อเรื่องของกระดูกสามร้อยท่อนแค่นี้เอง มาเดือดเนื้อร้อนใจกันในแค่กระดูกเคลื่อนไปเคลื่อนมาแค่นี้เหรอ

มันก็จะเห็นว่ามนุษย์นี่มันเดือดร้อนกับไอ้กระดูกเคลื่อนไปเคลื่อนมาแค่เนี้ย ... พอกระดูกมันไม่เคลื่อนก็กลายเป็นเนื้อกองนึง เหมือนเนื้อบนเขียงหมู เป็นตับ เป็นไต เป็นหัวใจ ม้าม ลำไส้ ปอด ไม่สามารถจะเอามาหลอกกันได้

เพราะนั้นก็แค่กระดูกมันยันกันอยู่นี่ แล้วก็กระดูกเดินไปเดินมานี่...ก็หลอกคนได้ทั้งโลกแล้ว คนมันก็มาหลงกระดูก หลงเนื้อที่หุ้มกระดูก หลงหนังที่ห่อหุ้มเนื้อหุ้มกระดูกไปมาอยู่ในโลก ...มาตายกันอยู่กับแค่กระดูกสามร้อยท่อนนี่

สุดท้ายก็ป่นปี้หมดไม่เห็นเหลืออะไร ...ที่จริงกระดูกมันก็เป็นอย่างนั้นน่ะ เหมือนกันหมด ไม่เห็นต่างกันเลย ... จะไปโกรธกระดูกทำไม จะไปรักกระดูกทำไม ใช่มั้ย  

จะไปรักโลภโกรธหลงกับกระดูกทำไม ...มันก็แค่กระดูกก้อนหนึ่งกองหนึ่งทั้งนั้นแหละ ไม่ได้มหัศจรรย์ ดีร้ายถูกผิดอะไร ..นี่ใจมันเห็น ใจมันก็จะค่อยๆ วาง เป็นกลาง เป็นเฉยๆ เป็นธรรมดาไป  

ในขณะเดียวกัน กระดูกเขาก็แสดงความเป็นไตรลักษณ์ ความไม่มีตัวไม่มีตนในตัวของมันเอง เพื่อให้เกิดปัญญาในการเข้าไปเห็น ไปแจ้ง ในธรรมตามความเป็นจริงขั้นต่อๆ ไป

ใจนี้ก็เป็นอิสระ ราบเรียบมากขึ้น ...นี่ อาศัยการกำหนดงานนี้เป็นงานหลัก  งานอื่นก็ทำไป แต่ให้ถือเป็นงานรองไม่ได้เป็นงานหลัก ...เอางานหลักเป็นอารมณ์เครื่องอยู่ เป็นเครื่องระลึกรู้ไว้คือศีลสมาธิปัญญา

สุดท้ายก็พาข้ามภพข้ามชาติ ข้ามการเกิดการตาย ...ไม่มาเวียนตายเวียนเกิด ไม่มาร้องไห้ดีใจเสียใจกับอะไรในโลก ไม่มาดีใจเสียใจร้องไห้กับก้อนกระดูกของเราเอง ไม่มาร้องไห้ดีใจเสียใจกับกองกระดูกของคนอื่น

ทุกวันนี้มีแต่คนร้องไห้กับกองกระดูกเยอะแยะไปหมด น้ำหูน้ำตาไหลตามงามศพ ... มาไหลมาออกเมื่อกระดูกมันเดินไม่ได้ มันหมดอายุของกระดูก แล้วจำเป็นจะต้องเอากระดูกนี้ไปเผา ...นี่ ความหลง หลงกระดูกของคน 

หลงกระดูกคนไม่พอยังมาหลงกระดูกหมา กระดูกหมู กระดูกควาย กระดูกไก่ ... กินกันไป แทะกันมา  กลายเป็นผีตายซาก เป็นผีดิบอยู่อย่างนี้ ผีดิบใหญ่กินผีดิบน้อย กินจนเหลือแต่กระดูก ...ก็เอากระดูกไปกินกระดูก

หลวงปู่ถึงพูดถึงกระดูกสามร้อยท่อนไง บอกเห็นกระดูกแล้วมันหมดอาลัยตายอยากในการเกิดการตายซะ ... มันเห็นกระดูก มันจะหัวเราะทำไม จะร้องไห้อะไร

กระดูกก็ไม่เห็นมีน้ำตา มีแต่เบ้าตาโบ๋ๆ  ควักออกมาแล้วก็เอากะโหลกเอาลูกตาออก เอาสมองออกแล้วก็เหลือแต่ช่องกลวงๆ แค่นั้นเอง เนี่ย น้ำหูน้ำตามันจะไหลออกมาได้ยังไง กระดูกร้องไห้ไม่เป็น เสียใจไม่เป็น

กระดูกสามร้อยท่อน ...เดินไปเดินมาก็ให้เห็นกระดูกเดินก๊อกแก๊กๆ  แขนก็ห้อยไว้ มีเอ็นรั้งไว้ แกว่งไปไกวมา ก๊อกแก๊กๆ เกิดๆ ดับๆ ของมันอยู่อย่างนั้นน่ะ ... หาสาระหาประโยชน์ได้อะไรในกระดูก 

สุดท้ายก็แตกหักหมด เปราะ ผุพังไป หมดไป ดับไป ...เหลือแต่ใจดวงเดียว เหลือแต่ใจผู้รู้ เหลือแต่ใจที่สุกสว่างบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่ภายใน  ไม่ไปไม่มา ...ไม่ไปหากระดูกใหม่มาเพิ่มเติม  

ไม่ไปใคร่ ไม่ไปมัวเมาลุ่มหลง ไปสร้างกระดูกใหม่ ... มีแต่ใจที่มันรู้มันเห็น มันเข้าใจตามความเป็นจริง ว่าทุกอย่างมันเป็นแค่อาการไตรลักษณ์ เกิดๆ ดับๆ ชั่วคราวเท่านั้นเอง 

ก็ฝึกไป ภาวนาไป ...(ถามโยมอีกคนที่เป็นแม่) แล้วแม่เป็นไงบ้างตอนนี้


โยม –  ตอนนี้หรือคะ ไม่ค่อยได้ปฏิบัติเท่าไหร่ มันยุ่งๆ กับเรื่องปรับปรุงนั่นปรับปรุงนี่

พระอาจารย์ –  อย่าทิ้ง อย่าทิ้งสติ ...ทำงานก็ทำได้ พร้อมสติ  ไม่ใช่ว่าทำงานแล้วทิ้งสติได้ ...สติมันสามารถมาใช้ในงานได้ ยืนเดินนั่งนอน ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว

เพราะนั้นภาวนาไม่ได้อยู่แค่สงบ หรือว่าความคิดความปรุง ... กายก็มี รู้ได้ทำได้ ระลึกขึ้นมาได้  นั่งอยู่ตรงไหน ก็รู้ว่านั่งอยู่ตรงนั้น รู้อยู่ว่ามีกายอยู่ในโลกใบนี้ ไม่ลืมว่ามีกาย  

ให้มันรู้ตัวว่ามีกายอยู่ในโลกใบนี้ มีกายของเรายังอยู่ในโลกนี้อยู่ อย่าลืม ...ถ้าไม่มีสติมันจะลืมไปว่ามีกายอยู่ในโลกนี้ มันหายไปไหนก็ไม่รู้ ทั้งที่ว่ามันมีอยู่ มันอยู่กับใจรู้อยู่  

ระลึกกลับมา ให้อยู่กับกาย ไม่ลืมกาย ... แล้วก็ผูกไว้ เอากายเป็นหลัก เอากายเป็นชีวิต เอากายเป็นที่ตั้งของสติ สมาธิ  แล้วปัญญามันก็จะเริ่มเห็น เริ่มเข้าใจตามความเป็นจริงมากขึ้น 

ด้วยการแยบคายสังเกต ตรวจตราสอดส่อง ...แล้วมันก็กระจ่างแจ้งขึ้นไปในความหมายของไตรลักษณ์ ...ปัญญาทั้งหมดนี่ไม่ได้ไปรู้เห็นเรื่องอะไรหรอก นอกจากเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเรื่องของไตรลักษณ์  

ในความไม่เที่ยง...ความไม่เที่ยงก็คือย้ายไปย้ายมา ไม่เสถียร ไม่ถาวร ...ในความเป็นทุกข์ มันบีบคั้น ในความที่มันทนอยู่ในสภาพไม่ได้  ...ในความเป็นอนัตตา มันก็ดับไปในความเป็นตัวของมันเอง 

ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่มีใครไปบังคับจัดการกับมันได้ ...แล้วก็ในตัวของมันเอง มันก็ไม่มีรูปลักษณ์ของตัวมันที่แท้จริง คือมีแต่ความว่างเปล่าในความเป็นอัตลักษณ์ของมันเอง

เนี่ย ปัญญา ให้เข้ามาเห็นไตรลักษณ์แล้วเรียกว่าปัญญา  แม้แต่เห็นการขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว เกิดๆ ดับๆ ขณะหนึ่งๆ ถือว่าเก็บเกี่ยวปัญญาขึ้นมาแล้ว

แต่ถ้าเมื่อใดที่ไป หายไป เผลอไป เพลินไป ...อาจจะได้งานภายนอก ได้เรื่องได้ราวภายนอก สุขบ้างทุกข์บ้างก็ตาม แต่มันเป็นของฉาบทาภายนอกเท่านั้น

แต่การที่มาเห็นอาการเกิดๆ ดับๆ ด้วยใจที่เข้าไปเห็นนั่นน่ะ  คือผลงานภายใน เป็นงานภายใน ... มันก็สะสมผลงานไว้ภายใน...ปัญญา  พอให้เอามาใช้จ่ายใช้ประโยชน์

ในเวลาถึงคราวคับขัน ถึงคราวที่มันจะต้องใช้...มันก็อาศัยปัญญาที่เราสะสมไปอยู่นี่มาใช้ไปได้


...............................





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น