วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2558

แทร็ก 5/16 (2)


พระอาจารย์
5/16 (540815B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
15 สิงหาคม 2554
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ :  ต่อจากแทร็ก 5/16  ช่วง 1

พระอาจารย์ –  การรู้กายรู้ใจนี่เป็นการรักษาธรรม...เพื่อให้ธรรมมันเป็นอันควรแก่ธรรมที่จะปรากฏตามความเป็นจริง 

แต่ถ้าไปรักษาธรรมอื่นที่นอกเหนือกายใจนี่ ....มันจะได้ธรรมที่ไม่ค่อยเป็นธรรมตามความเป็นจริง มันจะได้เป็นธรรมที่เกิดจากความปรุงแต่ง 

มันก็ผสมปนเป มั่วซั่ว เป็นส้มตำชนิดใหม่ที่คนอื่นไม่เคยกิน...แล้วเอาไปขายคนอื่นเขาเพื่อให้ได้เงินก็ได้ แล้วก็ไปตีตราลิขสิทธิ์ตั้งตนเป็นอาจารย์ขึ้นมาใหม่ก็ได้...มีเยอะแยะพวกนี้

ธรรมะก็เลยกระเซ็นกระซ่าน แตกกระเด็นกระดอน กระจายไปหมด ...ทำไมไม่เป็นอันเดียวกัน ทำไมไม่เป็นหนึ่งเดียว ทำไมจึงแบ่งกันเยอะแยะไปหมด ...แล้วขายแข่งกันอีก

เพราะนั้นให้มันเหลือแค่กายใจนี่ ...มันไปขายกับใครเขาไม่ได้หรอก คนอื่นเขาไม่เอาหรอก เพราะมันไม่มีค่า ...ตัวเองก็ยังรู้เลยว่ามันไม่มีค่าอะไร จะไปขายใคร มันก็ไม่หน้าด้านหน้าทนไปขายใครได้

เพราะมันไม่รู้อะไรเลย...นอกจากกายใจ ...คนอื่นเขารู้กันเยอะแยะไปหมด เราไม่รู้อะไรเลย เห็นแต่กายเกิดดับๆๆๆ อะไรผุดโผล่มากลางกายกลางใจนี้ก็เกิดดับๆๆๆ

มันจะเอาอะไรไปพูด มันจะเอาอะไรไปเสนอขายเขา มันจะเอาหน้าตาตัวตนอะไรไปโชว์เขา มันจะเอาความรู้ความเห็นอะไรไปโชว์เขา ...เพราะเห็นอะไรก็ดับๆ อะไรเกิดก็ดับ ไม่ดับก็ชั่วคราว แล้วก็ดับ

มันก็เลยอยู่ไปด้วยความสงบเสงี่ยมเจียมตัว ตัวก่อตัวงอ ...เหลือแค่จุดๆ หนึ่ง จุดเล็กๆ จุดหนึ่ง เหมือนจุดทศนิยมในอนันตภพ ...มันเล็กถึงขนาดนั้นน่ะ

โอ้ย ยิ่งปฏิบัติธรรมนี่...ตัวยิ่งห่อ นิดนึง ...มันอยู่แบบไม่มีตัวไม่มีตน  ...ใครตบหัวก็ได้ ใครเหน็บ ใครกัดก็ได้ เพราะมันกัดไม่โดน

ไม่ใช่ไปทำตัวซะให้กว้างขวาง เป็นผู้กว้างขวาง ใหญ่โตมโหฬาร แหนแห่กันไป ด้วยอำนาจธรรม ...ถ้าตัวมันใหญ่แล้วมันกัดตรงไหนก็โดน จมเขี้ยวเลย

เนื้อมันเยอะ ไขมันมันพอกพูนเพิ่มเสริมสร้างตัวตนมันใหญ่ ...พอมันยิ่งใหญ่เท่าไหร่นะ แค่เฉี่ยวนิดนึง ...แพล้บเลย โดนกูเข้าแล้ว กูโดนอีกแล้ว

แต่ถ้าตัวยิ่งเล็กเท่าไหร่...วุ้บ มันหันมาปุ๊บ ไม่ค่อยเจอ ไม่ค่อยเจอตัวเราเท่าไหร่ มันเจอแต่อากาศธาตุซะส่วนมาก  ถึงเจอก็เจอแค่รู้...ว่าเจอ เจอก็รู้ๆๆ นั่น นอกนั้นไม่เจอ 

บางทีเขาว่าเรา หือ...ใครๆ ...ลืมไปเลยว่ากูคือใคร  ไม่ต้องไปถามคนอื่น ตัวเองยังตอบไม่ค่อยได้ ...เอ๊ะ ใคร เขาว่าใครวะ เขาว่าหนังหรือเขาว่ากระดูก เขาว่าผมหรือเขาว่าลูกตา หรือจมูกหรือฟันหรือลิ้น

หรือมันว่าลึกหรือ แรงหรือ ...แรงเข้าไปถึงตับถึงหัวใจเลยไหม ของใครวะ ...หาไม่เจอ ...ถึงเจอใจก็เจอแต่ใจรู้ ...ไม่ใช่ใจใคร 

เออ ไปๆ มาๆ เขาด่าใครวะนี่ เขาว่าถึงใครวะ...งง บางทีนึกว่าใครวะ ..."เรา" ไม่มี หา "เรา" ไม่เจอ ...เห็นมั้ย ตัวเล็กนิ๊ดเดียว เล็กจนตัวเองนั่งหาทั้งวันยังหาไม่เจอ 

เขาว่า "เรา" ยังไง เขาว่า "เรา" ตรงไหนวะ ...ไอ้ "เรา" มันอยู่ตรงไหน หา พยายามหาหน้าตาของ "เรา" อยู่...เอ หน้าตามันเป็นยังไงวะ "เรา" นี่ ...เคยนึกบ้างมั้ย เคยหามั้ยว่าหน้าตา “เรา” เป็นยังไง

ลองไปนั่งหาดูซิว่าหน้าตา “เรา” เป็นยังไง แล้วก็แยกออกเป็นส่วนไปเลย ...เนี่ย ถ้าจะจินตานะ ให้จิตวิเคราะห์นะ นี่คือจินตามยปัญญา ...ต้องวิเคราะห์ในแง่อย่างนี้  

เอาจิตเข้าไปแยก แยกจนหาไม่เจอชิ้นส่วนน่ะ แยกไปแยกมาจนเหลือแต่อะตอมน่ะ ...ถ้ายังมาสมมุติมั่นหมายว่าอะตอมนี่เป็นกูอีกก็ตบกะโหลกตัวเองซะสามที จะได้หายบ้าไปขณะนึง 

ถ้าถึงอะตอมแล้ว ดิน น้ำ ลม ไฟ ยังเป็นกูอยู่นี่ก็ตบกะโหลกเข้าไปซ้ำๆ นี่ ...นี่คือจินตามยปัญญานะ คือแยกธาตุแยกขันธ์อยู่เป็นจุด

แต่ถ้าโดยภาวนามยปัญญานี่ให้ใจเข้าไปรู้เห็น ให้รู้ไว้เฉยๆ แล้วก็ดูความเกิดดับไป...โดยปรมัตถ์ ประกอบกัน 

คือบางทีใช้ตัวเดียวเอาไม่อยู่ว่ะ จะใช้ปรมัตถ์ธรรมล้วนๆ อยู่ด้วยสติสัมปชัญญะเกิดๆ ดับๆ ยิ่งเครียดๆ (หัวเราะ) เนี่ย ทำไมมันเครียดขึ้นๆ วะ มันกดมันอัด

ก็ต้องดูไป...หลากหลาย มือก็ต่อย ตีนก็ถีบ ปากก็กัด สู้ได้ทั้งนั้นน่ะธรรม อะไรก็ได้ ...หลวงปู่ท่านบอกว่า แม้แต่หมาเน่าลอยน้ำผ่านก็คว้า คว้าได้ก็คว้าไว้ เหม็นก็ทนเอา อะไรก็ได้ กองขยะขี้ขยะอะไรลอยมา 

เราว่ายน้ำไม่เป็นคว้าไว้ก่อน พอพยุงตัวไม่ให้จม...ได้หมด จะเอาอะไรก็ได้ สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน ปัญญาวิมุติ เจโตวิมุติ เจโตกึ่งปัญญาวิมุติ พิจารณาไปดินน้ำไฟลม พิจารณาไปอสุภอสุภัง 

อะไรก็ได้ให้จิตใจมันสงบระงับ ในชั่วคราวชั่วขณะนึง ...เพื่อให้จิตเกิดการตั้งมั่นแยกกายแยกใจ แยกขันธ์แยกธาตุ แยกใจออกจากธาตุจากขันธ์ ...เออ ทำไปเหอะ ถูกทั้งนั้นแหละ

ถ้าให้เคยชินในการเจริญสติ ในการรู้กาย ดูกาย เห็นกาย ...ก็แข็งตรงไหนกระดูกก็อยู่ตรงนั้น เวลาเดินก็ตึ้บๆๆ ตึ้บไปถึงกะโหลกน่ะ มันจะตึ้บได้มั้ย ถ้าไม่มีกระดูกดามไว้น่ะ

ไอ้แข็งๆ ตรงไหนน่ะ กระดูกทั้งนั้น ดูตรงไหนก็กระดูก รู้สึกถึงกระดูกเลยนั่นน่ะ กระดูก ...มันรู้สึก ตึ้บๆ กระเทือน ตึ้บที กระเทือนถึงหัวน่ะ

แต่ถ้าใจล่องใจลอย ใจเลินเล่อออกไป ...มันไม่เห็นหรอก มันไม่รู้สึกถึงอาการทางกายอย่างนี้หรอก ไม่รู้สึกถึงผัสสะ ที่มีอยู่ตลอดเวลาอย่างนี้หรอก ...ก็อกๆ แก็กๆ กึกๆ กักๆ ตึ้กๆ ตั้กๆ ดูเข้าไป 

ดูความรู้สึกพวกนี้ เล็กๆ น้อยๆ นี่ ดูเข้าไป ...ตึงๆ นั่งเฉยๆ ตึงๆ อ่อนๆ เบาๆ หนักๆ รู้สึกหนักตรงไหนก็ตรงนั้นน่ะ แข็งตรงไหนไอ้ที่แข็งมันกระดูกทั้งนั้น เนื้อน่ะมันนิ่มๆ ลมน่ะมันก็เบา ไฟน่ะมันก็อุ่น 

มันรู้สึกชัดตรงไหนก็ดูมันเข้าไป ดูความรู้สึกทางกาย เป็นอารมณ์ ...เนี่ย เขาเรียกว่าดูกาย กายานุสติปัฏฐาน 

แต่ถ้าดูแล้วไม่อยู่ก็คิดลงไป แต่คิดในแง่ของกาย...เป็นดิน กินข้าว ข้าวมาจากไหน มาจากดิน น้ำแกงก็มาจากน้ำ ผลไม้มาจากไหน ผลไม้มาจากดิน ผักมาจากไหน มาจากดิน 

ดินมาเป็นข้าวเป็นกับ นี่ดินผสมกับอากาศ แสงแดด สังเคราะห์กัน สะสมไว้เอามาปรุงแต่ง กิน แล้วกินอะไร กินดินน้ำไฟลม ...ก็เนี่ย อาหารมาจากดินน้ำไฟลม 

แล้วดินน้ำไฟลมมาเป็นเราตรงไหน มันก็มาเป็นดินน้ำไฟลมสิ นี่พิจารณาอย่างนี้ ....นี่ด้วยการคิดน่ะ

ถ้าพิจารณาโดยสติปัฏฐานก็เรียกว่าดูมันไหว มันเคลื่อน มันขยับ มันหนัก มันเบา  ดูเวทนา มันร้อน มันเย็น มันสุข มันทุกข์  อยู่ท่านี้มันทุกข์ อยู่ท่านี้ไม่ทุกข์ สบาย ...ก็ดูกายอย่างนี้ นี่ ดูด้วยสติสลับกันไปก็ได้

ดีกว่าไปนั่งคิดถึงกายคนอื่น ไปนั่งด่านั่งแช่งกายคนอื่น ไปนั่งตินั่งชมกายคนอื่น ...โอ้ย ไม่มีมรรคผลเกิดหรอก  มีแต่บันไดจะทอดขึ้นสวรรค์หรือลงนรก 

อย่างนั้นมีอยู่สองทาง คือไม่บาปก็บุญ ไม่บุญก็บาป บุญมากบ้างบุญน้อยบ้าง บาปมากบ้างบาปน้อยบ้าง แล้วแต่ ไม่มีประโยชน์สาระอะไร

อย่าให้ใจมันไปพิจารณาที่ออกนอกกายนอกใจ ...พิจารณากายใจก็พิจารณาในแง่เป็นธาตุ พิจารณาในแง่อสุภะ พิจารณาในแง่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ พิจารณาในแง่ไม่มีตัวไม่มีตน

นี่ถ้าพิจารณาในความคิดก็ให้คิดพิจารณาอย่างนี้ เกิดแก่เจ็บตาย เดี๋ยวก็เกิด เดี๋ยวก็แก่ เดี๋ยวก็เจ็บ เดี๋ยวก็ตาย ...คิดเข้าไป อยากคิด คิดเข้าไป แต่คิดวนอยู่ในเรื่องนี้

ถ้าไม่คิดก็ไม่คิดเลย ดู...รู้ ดู...รู้ๆ สลับกัน ...อยู่ในมรรคทั้งนั้นแหละ ถ้าอยู่แล้วมันก็จะเห็น

เมื่ออยู่ในมรรคพอดีพอสมควรแล้ว ผลของมรรคเบื้องต้นก็คือ กายอันหนึ่ง...รู้อันหนึ่ง คิดอันหนึ่ง...รู้อันหนึ่ง ...มันจะชัดเจนอย่างนี้

นี่ เรียกว่าเป็นสัมมาทิฏฐิเบื้องต้น...เห็นกายไม่ใช่ใจ เห็นใจไม่ใช่กาย เห็นคิดไม่ใช่ใจ เห็นใจไม่ใช่คิด เห็นสุขไม่ใช่ใจ เห็นใจไม่ใช่สุข ...นี่มันจะเห็นแยกกันอย่างนี้ เป็นสัมมาทิฏฐิเบื้องต้น

จากนั้นเมื่อมันตั้งมั่นดีแล้ว รู้ดีแล้ว ชัดเจนดีแล้ว รู้ตั้งมั่น ...อาศัยรู้เห็นนี่แหละ เข้าไปเห็นไตรลักษณ์ ในอาการทั้งหลายทั้งปวงที่กระทบ ที่ปรากฏสัมผัสสัมพันธ์หน้าใจในปัจจุบัน 

จึงจะเกิดเป็นญาณทัสสนะขึ้นมาหรือว่าปัญญาญาณ ...นี่อันนี้ปัญญาตัวจริงเกิดแล้ว

ที่ห็นเป็นกระดูกกระเดี้ยว เห็นเป็นซากศพอสุภะกรรมฐาน ยังไม่ใช่ญาณปัญญาโดยตรงนะ ...นี่ จนกว่าใจมันจะมาเห็นรูปขันธ์นามขันธ์นี้...เป็นไตรลักษณ์ เกิดดับในตัวของมันเอง 

นี่เรียกว่าเป็นญาณ ปัญญาญาณ ...ไม่ต้องไปไล่ญาณสิบหกสิบแปดยี่สิบอะไรล่ะ ญาณเดียวคือเห็นมันไตรลักษณ์อย่างนี้ เกิดๆ ดับๆ เป็นปรมัตถ์ธรรมเกิดดับเท่านั้น

มันก็จะเข้าไปทำความจางคลายออกจากความหมายมั่นในสมมุติในบัญญัติ...ที่เราเคยให้ความเชื่อถือกับมัน 

เพราะเราถูกปลูกฝังถูกสั่งสอนมาตั้งแต่เกิด ตั้งแต่ก่อนเกิด ให้เชื่อว่านี่ถูกนี่ผิด นี่ชายนี่หญิง นี่สวยนี่ไม่สวย ...มันถูกปลูกฝังและย้ำอยู่ตลอดเวลาว่ามันจริง

อย่าไปโทษใคร ...กัมมพันธุ กัมมทายาโท เป็นกรรมนะ ยังไงก็ต้องเจอ การสั่งสอนซ้ำซากอย่างนี้ในความเห็นผิดๆ มา ...กว่าจะมาเจอคนสอนถูกสอนตรง นี่น้อย

ไอ้คนสอนผิดน่ะมันอยู่ทั้งวันน่ะ ใช้ชีวิตร่วมกันน่ะ มันก็จะปลูกย้ำลงมาในความเห็นผิดน่ะ...โดยสมมุติ โดยสีลัพพตปรามาส โดยเพิ่มสักกายทิฏฐิ ยึดมั่นถือมั่นในตัวในตน

เขาว่า “เขาทำเธอขนาดนี้ เธอไม่ทำเขาคืนได้ยังไง” มันก็ว่า “เหรอๆ ถูกแล้วต้องเอาคืน” ...นี่ ได้รับแรงหนุน...เฮ ไชโย เอาคืนได้แล้ว นี่ มันได้รับการยกย่อง มันก็ยึดน่ะ 

มันก็ไปเพิ่มความยึดมั่นถือมั่น สร้างอัตตลักษณ์ของตัวเองให้ขยายขึ้นเรื่อยๆ แทนที่ไอ้ตัวตนที่จะทำให้แฟบให้น้อยนิด ให้เหมือนกับปล่อยลมออกจากลูกโป่งน่ะ มันกลับเพิ่มอัดลูกโป่งเข้าไปให้มันพองใหญ่

แล้วในโลกน่ะ ถ้าทุกคนต่างเพิ่มลมในลูกโป่งล่ะ ...หลายพันล้านลูกโป่งที่มันลอยล่องอยู่นี่ มันจะไม่เบียดเสียดกระแทกกระทั้นกันเหรอ

มันถึงอยู่กันด้วยความเบียบเบียนไงล่ะ มันจึงอยู่กันด้วยความเร่าร้อน จองล้างจองผลาญกัน ...เพราะต่างคนต่างสร้างอัตตา สร้างความเป็นตัวตนให้มันใหญ่ เกินโลกนี้อีกน่ะ

มันจะเอาไปถึงจักรวาล สุริยะจักรวาลน่ะ เห็นมั้ย มันมีพอที่ไหน มันจะเอาให้สุด มีตรงไหนที่มันยังไม่ได้ครอบครองบ้าง มันจะไปครอบครองให้หมด ...เนี่ย มันใหญ่เกินธรรมที่ปรากฏ


(ต่อแทร็ก 5/16  ช่วง 3)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น