วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2558

แทร็ก 5/16 (4)


พระอาจารย์
5/16 (540815B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
15 สิงหาคม 2554
(ช่วง 4)


(หมายเหตุ :  ต่อจาก แทร็ก 5/16  ช่วง 3

พระอาจารย์ –  แล้วต่อไปมันก็...อ้อ เข้าใจแล้ว ว่าเรามันเป็นแค่อาการนึง ไม่มี...ตามความเป็นจริงแล้วไม่มี ไม่มีตัวตนของเรา ไม่มีตัวของสักกาย 

มันเป็นแค่เสือกระดาษ ไม่ใช่เสือโคร่งจริง เป็นเสือในกระดาษอย่างนี้ ไม่มีจริง ...แต่ด้วยความไม่รู้มันก็ไปเชื่อว่าเป็นเสือจริง ไปกลืนกินขบกัดทุกอย่างได้ อย่างนี้ 

ปัญญามันก็จะเกิด ของยากก็กลายเป็นของง่าย ...แต่ก่อนเคยมองพิจารณาอะไร จนมันยากเกินไป แบบ..."ทำไมมันยากจังวะ"  ต่อไปก็...เออ แค่เนี้ย แค่นี้เองน่ะ 

ซึ่งดีไม่ดี ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์หรือผู้ตอกย้ำมาคอยย้ำว่า...เออ ก็แค่นี้แหละ  มันก็จะว่า...เอ มันจะได้รึเปล่า มันใช่เหรอ มันไม่น่านะ มันไม่เห็นเหมือนคนอื่นเขาว่ากันเลย

เอาอีกแล้ว นี่ มาถึงครูบาอาจารย์ก็จะตบกะโหลกปั้บ ...จะบ้ารึเปล่า พอแล้ว แค่นี้ก็พอแล้ว เหลือแค่กายใจ มึงจะเอาอะไรๆ ก็เห็นอยู่แค่นี้แหละ ไม่เห็นมีอะไร นั่นแหละ ถึงได้สงบระงับราบคาบไปสักทีหนึ่ง 

แต่เดี๋ยวมันกระเหี้ยนกระหือรือมาอีกแล้ว แฮ่กๆ เหมือนหมาหิวน่ะ ไม่ใช่เสือหิว ...คือเสือนี่มันเลือกกินนะ แต่หมาหิวนี่มันไม่เลือกน่ะ อะไรมาคว้าได้ก็งับ

นี่ ก็ต้องคอยบอกว่า...พอแล้ว สงบๆ ซะ อยู่นิ่งๆ ไว้ แค่กายใจ ...อย่าออกไปไหน ออกไปเดี๋ยวเจ็บ รู้มากเดี๋ยวเครียด รู้ละเอียดเกิน มันนอกกายนอกใจ...อย่าไป เดี๋ยวมีเรื่อง...มีเรื่องกับคนอื่นน่ะ (หัวเราะ)

คือถ้าไปมองเขานี่ ไม่ต้องคิดอะไรมาก เขาแสดงอาการอะไร ไม่ต้องคิด ...อย่าไปรู้จับลึกในรายละเอียด ...มันไม่รู้ดีกว่า ไม่ต้องมีปัญหาอะไรมากกับเขาหรอก ใช่ป่าว 

ถ้าไม่รู้อะไรเลย ก็ไม่ต้องไปตามจิกตามคิดแทนเขา มันก็ไม่มีปัญหาอะไรกับใคร ใช่มั้ย ...รู้มากมันทุกข์มากนะนั่น 

จริงรึเปล่าก็ไม่รู้ มันเชื่อไว้ก่อนแล้ว ...แบบหมาหิวน่ะ คิดเอง เชื่อเอง กินเอง  ของเน่า ของเหม็น ของดี ของไม่ดี กินหมด ...คิดเองกินเองน่ะ มันเชื่ออย่างนั้น

เพราะนั้นก็สงบไว้ ...นี่ต้องตีกรอบเข้ามา ศีลสมาธิปัญญาจะเป็นตัวตีกรอบ ปกติกายวาจาใจอยู่ตรงนี้ แล้วรู้อยู่เห็นอยู่ ตั้งมั่นอยู่ที่กายวาจาใจในปัจจุบัน 

ความที่เข้าไปทะเยอทะยาน ก้าวก่าย ล่วงล้ำ เบียดเบียนผู้อื่น มันก็จะหดตัวลงมา อยู่ในกรอบกายใจ ไม่ไปแผ่ออร่า...ออร่าที่เจือด้วยรังสีอำมหิตนะ ไปฟาดฟันผู้อื่นทั้งในความฝันและความตื่น เนี่ย มันได้หมด

ภพเป็นของน่ากลัว ความเกิดเป็นของน่ากลัว การหมุนวนในวัฏฏะเป็นของน่ากลัว ...ถ้ากลับมารู้อยู่ที่กายใจเสมอบ่อยๆ จะเห็นโทษภัยของการเกิด...ไปในอดีตและอนาคต 

จนเห็นว่าการเกิด...ในทุกที่ ทุกแห่ง ในที่ทั้งปวง ...จะเห็นเลยว่าการเกิดเป็นทุกข์

เพราะนั้นใจที่มันเข้าไปเห็นตรงนั้นน่ะ ...ซึ่งไม่ใช่ไปนั่งคิดว่าเกิดมาจากท้องแม่อยู่เก้าเดือนสิบเดือนเป็นทุกข์ยังไง...ไม่ใช่ ไอ้นั้นเป็นหยาบๆ เป็นจินตา

แต่นี่มันจะเห็นเลยว่าการไปเกิดในความคิด ไปเกิดในอดีต ไปเกิดในอนาคต จิตมันออกไปเกิด ไปในเรื่องราวอันอื่น ไปในเรื่องราวที่ยังมาไม่ถึง ไปในอารมณ์ที่ยังไม่เกิด ไปอารมณ์ที่เกิดไปแล้ว พวกนี้

มันจะเห็นเลยว่าการไปเกิดกับสิ่งพวกนี้...เป็นทุกข์ ...มันจะเกิดความกลัว เกิดความหน่ายในจิตที่สอนไม่รู้จักจำ ในสันดานที่แฝงลึกอยู่ภายใน อย่างนี้

เนี่ย มันถึงขั้นจะอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้...กับการปล่อยให้จิตเป็นอย่างนี้ๆๆ อีกต่อไป ...เพราะนั้นการกระชั้นเข้าไปภายใน การเข้มข้นอยู่ภายใน...ก็ยิ่งขึ้น มันจะไม่มาเหลาะแหละๆ แล้ว 

มันไม่ไปแล้ว ...เสียเวลา ไปปรุงทำไม  ก็ไม่ไปเกิดกับอะไรเลย ในการเกิดในอดีต ในอนาคต ในการคาด การหมาย การมุ่งไป ออกไป ออกนอกนี้ 

ก็อยู่แค่นี้ ...จนมันหดๆๆๆ หดจนเหลือเป็นจุดทศนิยม นิดๆ เล็กๆ อยู่ภายใน เป็นจุดรู้นิดนึง ...แค่นี้ยังอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้เลย

เพราะนั้นตะล่อมใจไว้ ตะล่อมกาย ตะล่อมวาจาไว้...ให้อยู่ในกรอบรู้ เห็น  ให้มีดวงจิตผู้รู้ผู้เห็นอยู่เนืองๆ ...แล้วไม่ต้องไปรู้เห็นอันอื่นนอกจากกายใจ 

ก็ไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องคิดถึงใจก็คิดถึงกายก็พอ ...เพราะเมื่อใดที่รู้กายเห็นกาย ก็นั่นน่ะใจอยู่ตรงนั้นน่ะ  ใจปัจจุบันก็ปรากฏตรงรู้นั้นแหละ อยู่คู่กับรู้นั่นแหละ 

สติเกิดตรงไหน ใจก็คู่กับสตินั่นแหละ ...แล้วสติไปตั้งอยู่กับอะไร...อยู่กับกาย ใจก็ตั้งคู่อยู่กับกายตรงนั้นแหละ

ไม่ต้องคิดอะไรมาก ไม่ต้องไปสรรหาในธรรม ไปเฟ้นในธรรม ด้วยความอยากได้ อยากมี อยากเข้าใจอะไร ...นอกเหนือจากให้รู้เห็นปัจจุบันเท่านั้น 

กายเป็นธรรมอันหนึ่ง ใจเป็นธรรมอันหนึ่ง...ที่ปรากฏอยู่คู่กันในปัจจุบัน ...ตัตถะๆ วิปัสสติลงไป ตั้งมั่นลงไป อยู่กับปัจจุบันจิตปัจจุบันธรรม 

แล้วก็จึงจะเห็นปัจจุบันธรรมนั้นๆ เป็นของไม่เที่ยง เป็นของชั่วคราว แปรปรวน เป็นของย้ายไปถ่ายมา สลับขึ้นสลับลง สลับไปสลับมา ไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน ไม่มีใครควบคุมมันได้ 

มันเกิดเอง มันตั้งเอง มันดับเอง แล้วมันจะเกิดอีกก็ไม่มีใครห้ามมันได้ มันจะดับไปไม่เกิดมาอีกก็ไม่มีใครไปสั่งมันได้

มันเรียนรู้ของมันอยู่อย่างนี้ซ้ำซากๆ ...ต้องซ้ำซากนะ เพราะเราติดอาการพวกนี้ซ้ำซากเหมือนกัน 

ถ้าไม่ดูซ้ำซาก ไปเบื่อซะกลางคัน ไปท้อไปถอย ไปหางานภายนอกทำ หรือไปหาธรรมบทอื่นมาทำแทน โดยเข้าใจว่าจะได้ผลอันนั้น จะได้สวรรค์มรรคผลนิพพานเร็วกว่านี้ 

นี่ มันทำให้ทิ้งงานที่เป็นงาน ทิ้งทางที่เป็นทาง ทิ้งโอกาสที่มีโอกาส ทิ้งเวลาที่มันเสียไป

เอาคืนไม่ได้นะ...เวลาน่ะ ขณะนึงๆ นี่ เอาคืนไม่ได้แล้ว จะเสียดายมันขนาดไหนก็เอาคืนไม่ได้ ...เมื่อวันที่ผ่านแล้วทำอะไรมาบ้าง หรือไม่ได้ทำอะไรมาบ้าง มันเอาคืนไม่ได้แล้ว

มันเอาคืนไม่ได้ในสิ่งที่ล่วงไป ...เคยด่าเขา เคยจิตหลุด เคยจิตลอด เคยจิตมีอารมณ์เกิดขึ้นในอาการที่ไม่น่าเกิดน่ะ แก้ไม่ทัน รู้ไม่ทัน ...นี่ เอาคืนไม่ได้แล้วนะ 

เพราะนั้น อย่ามัวเสียใจกับมัน ก็มารักษาปัจจุบันต่อไป ...รักษาใหม่ในปัจจุบัน รักษากายรักษาจิตไว้

ที่หลงไป ลืมไป หลุดไป ทำอะไรไม่ดีไป ขาดสติ ขาดสมาธิ ขาดปัญญาไป ในเรื่องราวที่ไม่น่าเกิด ...วางซะ มันดับไปแล้ว เป็นสัญญา เป็นอตีตารมณ์ไปแล้ว 

ไม่ต้องเก็บมาเป็นหนามทิ่มแทง หรือเอามาเป็นเกราะกำแพงขวางกั้นปัจจุบันที่ปรากฏ...ที่จะตั้งสติรู้อยู่เห็นอยู่กับสิ่งนี้ เดี๋ยวนี้ ขณะนี้

นี่แหละ จึงจะเรียกว่าเป็นผู้ที่ประกอบด้วยความเพียร เป็น ชาคริยานุโยค ... เป็นชาคริยานุโยคคือผู้ประกอบด้วยความเพียรไม่มีราตรี ...เป็นผู้ไม่มีราตรี 

ทำไมท่านเรียกว่าชาคริยานุโยค หรือผู้มีความเพียรประดุจผู้ที่ไม่เคยนอนหรือว่าเป็นผู้มีราตรีเดียว ...เพราะว่าอะไรๆ ท่านก็อยู่ในอาการนี้ ไม่ว่ากลางวันกลางคืน 

ไม่ว่าอยู่ผู้เดียวอยู่หลายคน อยู่ในที่วิเวกหรืออยู่ในที่สังคมสาธารณะ อยู่ในป่าในเขา  ท่านก็ประกอบชาคริยานุโยคอยู่เสมอ เป็นนิจศีล จึงเรียกว่าเป็นผู้มีราตรีเดียว ไม่มีงานอันอื่น ไม่มีใจไปทางอื่น

แต่กว่าจะเป็นผู้มีราตรีเดียวได้ มันต้องพากเพียร อดทนมากๆ ไม่ท้อ ไม่ย่อหย่อน ไม่อ่อนแอ ไม่คิดเล็กคิดน้อย ไม่คิดไปคิดมา ไม่สงสัยลังเล หลายอย่าง...ที่จะเกิดความเพียรที่เป็นหนึ่งเนื้อเดียวกับกายใจได้

ความสมดุลเป็นเส้นตรง มาตรฐาน บรรทัดฐาน หรือว่าเป็นทางที่ทอดไปสู่มรรคสู่นิพพาน มันก็ไม่ต้องไปคอยค้นหา คอยบังคับแล้ว มันก็จะเข้าไปในกระแสของมรรค อยู่ในองค์มรรค ด้วยตัวของมันเอง

เมื่อใดที่ออกนอกองค์มรรคปุ๊บ มันก็จะโดนศีลสมาธิปัญญานี่ตบโหลกมัน เนี่ย ไม่ต้องมาให้อาจารย์ตบโหลกแล้ว ตัวใจที่มีศีลสมาธิปัญญาจะเป็นตัวคุ้มครองให้อยู่ในองค์มรรคเอง 

ด้วยความเคยชิน ด้วยความคุ้นเคย อย่างนี้ คืออานิสงส์แห่งศีลสมาธิปัญญา ที่จะเข้าไปรักษาใจไว้ให้อยู่ท่ามกลางทุกสรรพสิ่ง ด้วยความไม่ยินดียินร้าย และเรียนรู้ความเป็นไตรลักษณ์ต่อเนื่องสืบไป 

จนไม่มีอะไรที่สงสัยว่ามันเป็นไตรลักษณ์รึเปล่า นี่ จึงเรียกว่าหมดงาน จบงาน ...อยากทำงานก็ไม่มีงานให้ทำแล้ว จะขอทำต่อก็ไม่รู้จะหางานอะไรให้มาทำต่ออีก ก็ไม่มีแล้ว

มันก็ปลดเกษียณด้วยตัวของมันเอง ปลดจากความเป็นคน ปลดออกจากความเป็นสัตว์ ปลดออกจากฐานะทุกฐานะในสามภพ ปลดออกหมดเลย 

นี่มันปลดตัวเองเลย ...ไม่ไปตีตรา ไม่ไปใส่เสื้อใส่ฟอร์มใด...ที่จะต้องเป็นอย่างนั้น ตามอย่างนั้น ในสังคมอย่างนั้น ในสภาวะอย่างนั้น...ไม่มี

เนี่ย ผู้รู้จริงเห็นจริง รู้จริงเห็นจริงต้องเป็นอย่างนี้ ...ถ้าไม่รู้จริงเห็นจริงอย่างนี้ อย่าเพิ่งไปพูดอะไร ...เอาจนมันหมดก่อน รู้จนหมด ยิ่งรู้หมดเท่าไหร่ ยิ่งเงียบขึ้นเท่านั้น ยิ่งหมดคำพูดขึ้นเท่านั้น

พั่บๆๆ ดับหมด นี่ ไม่ได้ผุดไม่ได้โผล่มาเลย สังขาร สัญญา เวทนา อดีต อนาคต ...ไม่ได้โผล่มุดหัวออกมาได้เลย โดนกุดหัวหมด 

ด้วยอำนาจแห่งศีลสมาธิปัญญานี่แหละ ด้วยอำนาจแห่งสติสัมปชัญญะนี่แหละ ด้วยอำนาจของญาณทัสสนะ ปัญญาญาณนี่แหละ ...ไม่เหลือหรอ หมดสิ้น

อาศัยความเพียร ศรัทธา...เยอะๆ แค่นั้นเอง ...ให้มีศรัทธาไว้ในธรรม ศรัทธาในการปฏิบัติ ศรัทธาในการเจริญสติ 

อย่าไปมีศรัทธาหรือให้ศรัทธาในเรื่องอื่นมากเกินไป ในเรื่องของผล ในเรื่องของบุญ ในเรื่องของชื่อเสียงการยอมรับในโลก ความสุขความสบาย ...อย่าไปศรัทธาในพวกนั้นจนเกินไป

ถ้าไปศรัทธาไปตั้งศรัทธาไว้กับพวกนั้น มันจะดึงให้เราจมเข้าไปกับมัน ไปมุ่งมั่นอยู่กับมัน จนละเลยจนเพิกเฉยกับศรัทธาในสติศีลสมาธิปัญญา ที่จะกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวกายใจ

สร้างศรัทธาตัวนี้มากๆ ...ความเป็นไปในธรรม ความรู้แจ้งในธรรม การยอมรับในธรรม มันก็จะเกิดขึ้นเป็นลำดับลำดา ไม่ขาดวรรคขาดตอนไป 

มันจะต่อเนื่องเป็นสายเหมือนน้ำ ไม่ใช่หยดน้ำ ...แต่เหมือนแม่น้ำที่หลั่งไหลลงสู่มหาสมุทร คือนิพพาน


...............................



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น