วันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2559

แทร็ก 5/26 (2)


พระอาจารย์
5/26 (541122A)
22  พฤศจิกายน 2554
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 5/26  ช่วง 1

พระอาจารย์ –  นี่ ใจมันจะถูกกลืนหาย...ด้วยอำนาจของโมหะปิดบัง ด้วยอำนาจของตัณหาอุปาทาน ความไม่รู้ ความเห็นผิด ...มันจะเข้าไปกลืนกินขันธ์

ไปเป็นหนึ่ง ไปเป็นอันเดียวกัน ไปเป็นเจ้าของ ไปเป็นของสิ่งเดียวกัน  ใจมันหายไป ...จริงๆ ใจไม่หาย แต่มันถูกครอบงำ ด้วยอำนาจของโมหะภายใน

เมื่อใดที่มีสติขึ้นมาเมื่อไหร่ ใจมันก็จะปรากฏขึ้นในขณะหนึ่ง คือมีอาการรู้เห็นว่ากายนี้ทำอะไร นิ่ง ไหว เย็น ตึง ปวด เมื่อย ...เพราะนั้นเมื่อใดมีสติ เมื่อนั้นมีการจำแนกแยกขันธ์กับใจออกเป็นของสองสิ่งทันที

เพราะนั้นในลักษณะนี้...ในขณะที่เห็นสองสิ่งนี่อยู่ด้วยกัน คือขันธ์กับใจ...ขันธ์อันหนึ่ง ใจรู้อีกอันหนึ่ง  อาการที่เห็นของสองสิ่งอยู่คู่กันนี่ ตรงเนี้ยท่านเรียกว่าปัญญา

ปัญญาในที่นี้ ในความหมายของปัญญาวิมุตินี่ คือเป็นปัญญาที่เข้าไปเห็นตรงนี้เลย...เห็นขันธ์เป็นอันหนึ่ง รู้เป็นอันหนึ่ง เห็นกายเป็นอันหนึ่ง เห็นใจเป็นอันหนึ่ง ไม่ใช่อันเดียวกัน

อาการที่เห็นสภาพธรรมสองสิ่งอยู่คู่กันนี่เรียกว่าปัญญาแล้ว ...เพราะนั้นปัญญาในที่นี้ของปัญญาวิมุติ ไม่ได้หมายความว่าเป็นปัญญาที่เกิดจากการคิด ค้น เทียบ เคียง หาเหตุหาผล เข้าใจมั้ย

อาศัยการที่ใจปรากฏขึ้น แล้วรู้เห็นตามความเป็นจริงของขันธ์...นั่งก็รู้ว่านั่ง คิดก็รู้ว่าคิด หงุดหงิดรู้ว่าหงุดหงิด รำคาญรู้ว่ารำคาญ เป็นสุขรู้ว่าเป็นสุข เป็นทุกข์รู้ว่าเป็นทุกข์ 

กังวลรู้ว่ากังวล สงสัยรู้ว่าสงสัย อยากรู้ว่าอยาก ...คือไม่ได้ไปแก้ไขขันธ์ที่มันปรากฏ  แต่ทำหน้าที่ว่าตั้งสติขึ้นมา อยู่ที่ใจ แล้วให้ใจมันเห็นในสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏในปัจจุบัน

สมาธิคือความตั้งมั่น ใจที่ตั้งมั่น มีการตั้งอยู่ที่ใจรู้ใจเห็นหรือว่าดวงจิตผู้รู้น่ะ โดยไม่หวั่นไหว ...ด้วยความอดทน...ไม่แก้ ไม่ทำลาย ไม่ต่อต้าน ไม่ดึงไว้

รู้..ตั้งอยู่ที่รู้เฉยๆ ด้วยความเป็นกลาง จนกว่าสิ่งที่มันปรากฏนี้ จะแสดงความเป็นไตรลักษณ์ แปรเปลี่ยน มากบ้างน้อยบ้าง จนถึงที่สุดคือความดับไป

เมื่อใดที่มันเห็นครบกระบวนการ การเกิดขึ้น การดับไป ...เห็นถึงการดับไปเองของขันธ์นั้นๆ ที่มันก่อเกิด ที่มันรวมตัวกันปรากฏมาเป็นสภาพธรรมใดธรรมหนึ่งก็ตาม

หรือเป็นสภาวธรรม สภาวะขันธ์ สภาวะธาตุหนึ่งก็ตาม นี่ จนกว่ามันจะดับไปเองของมัน ...นั่นแหละ จึงว่าเห็นรอบในปัญญา...ครั้งหนึ่ง

ใจที่มันเห็นความเกิดเอง ตั้งเอง ดับเอง ของอาการของขันธ์นั้นๆ โดยที่ไม่มีการเข้าไปแทรกแซง ...แต่ละครั้งที่มันเห็นอาการดับไปเองของขันธ์นั้นๆ  ใจดวงนี้มันจะเกิดความรู้ที่เรียกว่าเป็นปัจจัตตังจำเพาะจิต

เป็นความเห็นจำเพาะจิตจำเพาะใจดวงนั้นขึ้นมา ...คือความเห็นที่เป็นสัมมาทิฏฐิว่า...สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ สิ่งที่ตั้งอยู่นี้ สิ่งที่ดับอยู่นี้...ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใคร

เมื่อใดที่มันเห็นความเป็นไตรลักษณ์ของขันธ์...ที่ปรากฏขึ้นเอง เกิดเอง ตั้งเอง ดับเอง อย่างต่อเนื่อง บ่อยๆ ...มันจะเข้าไปทำลายความเห็นผิดในขันธ์ไปเอง

มันเข้าไปแก้ความเห็นผิด ว่านี้เป็นเรา นี้เป็นของเรา นี้เป็นเรื่องของเรา นี้เป็นเรื่องของคนอื่น ...มันก็จะเห็นว่าเป็นแค่..สักแต่สิ่งหนึ่งที่ปรากฏ แล้วก็สักแต่ว่าสิ่งนั้นดับไป

จึงเรียกว่า...เห็นขันธ์สักแต่ว่าขันธ์ เห็นกายสักแต่ว่ากาย เห็นจิตสักแต่ว่าจิต เห็นเวทนาสักแต่ว่าเวทนา ไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่บุคคล ไม่มีชีวิต ไม่มีตัวเรา ไม่มีตัวของใครในสิ่งที่ปรากฏนี้

นี่ มันเกิดความเข้าใจ ...ใจมันเข้าใจของมันเองอย่างนี้ โดยที่ว่าไม่ต้องไปคิด ไปน้อมให้มันเห็น ให้มันเข้าใจตามตำราเลย ...แต่ใจดวงนี้ ใจผู้รู้นี่ มันเห็นเอง ด้วยสันทิฏฐิโก รู้เองเห็นเองๆ

ไม่ต้องไปเอาตำรามาบอกมัน ไม่ต้องไปคิดโอ้โลมปฏิโลมว่า นี่เป็นไตรลักษณ์นะ นี่มันไม่เที่ยงนะ ...ไม่ต้องว่า มันเห็นเอง มันเห็นไปตรงนั้นเลย

มันไม่ใช่ว่า...ไปนั่งนึกนั่งคิดว่า ไอ้นี่เป็นไตรลักษณ์ ไอ้นี่เป็นการเกิด ไอ้นี่เป็นการดับ  มันไม่ต้องคิด ...มันต้องเห็นเอง เห็นตรงนี้ เห็นเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องรอ

เพราะขันธ์มันมีอยู่ทุกขณะ ใช่มั้ย กายมันมีอยู่ตลอด นามก็มีอยู่ตลอด ...แต่ที่ไม่มีตลอดคือสติ ขาด..ขาดสติ ...เมื่อขาดสติก็ไม่มีสมาธิ คือตั้งมั่นอยู่ที่ใจรู้ใจเห็น

เมื่อไม่มีสมาธิที่ตั้งมั่นหรือใจรู้ใจเห็น มันก็ไม่มีอาการเห็นขันธ์นั้นตามความเป็นจริง ว่ามันเป็นแค่ของชั่วคราว...เกิดเอง ตั้งเอง ดับเอง

ก็ไม่เห็นว่าในขณะที่อาการของขันธ์มันแปรเปลี่ยนแปรปรวนไป แล้วมันมีการเข้าไปแทรกแซงด้วยความคิด ด้วยเจตนา ด้วยความอยาก ...มันก็ไม่เห็นอีก

มันก็มีแต่ว่า อะไรเกิด...มันก็เลือก มันก็แบ่งว่า อันนี้ดี อันนี้ใช่ อันนี้ไม่ใช่ อันนี้ถูก อันนี้ผิด ...แล้วมันก็จดจำมาว่า อันนี้ดีต้องทำอย่างนี้ อันนี้ไม่ดีต้องทำอย่างนี้

มันก็เบียดบัง เบียดเบียนขันธ์อยู่ตลอดเวลา โดยเข้าใจว่า...ถ้าทำอย่างนี้แล้วจะดีกว่านี้ ถ้าไม่ทำอย่างนี้แล้วจะแย่กว่านี้ ...มันจะมีว่าจิตดีบ้าง จิตเสื่อมบ้าง ทำอย่างนี้แล้วจิตจะดี ทำอย่างนี้แล้วจิตจะเสื่อม

เห็นมั้ย มันไม่ได้เป็นกลาง ...ที่ว่ามันติดเพราะมันไม่ถึงเป้าหมายที่เราตั้งไว้ นั่นแหละคือความอยาก นั่นแหละคือใจไม่ตั้งมั่นยอมรับกับสิ่งที่ปรากฏในปัจจุบัน

จะดี ร้าย ถูก ผิด...มันอยู่ตรงนี้คือตรงนี้ เดี๋ยวมันก็เปลี่ยน ...แต่มันมีอันหนึ่งที่มันไม่เปลี่ยน คือดวงจิตผู้รู้ หรือใจที่รู้ที่เห็นอยู่นั้นแหละ ...มันไม่เปลี่ยน

ขันธ์น่ะมันเปลี่ยน ความอยากก็เปลี่ยน ความไม่อยากก็เปลี่ยน เอาแน่ไม่ได้ หาความแน่นอนไม่ได้ หาความพอดีไม่ได้ ..แต่มันมีอยู่สิ่งหนึ่งที่มันไม่เปลี่ยน...คือใจ

ใจรู้ใจเห็น มีอยู่ทุกที่ มีอยู่เท่าเก่านั่นแหละ มีอยู่ที่เดียวนั่นแหละ ถ้าเจริญสติบ่อยๆ จะเข้าใจ ว่าใจดวงนี้ไม่ขึ้นไม่ลง ไม่ซ้ายไม่ขวา ไม่หน้าไม่หลัง ไม่บนไม่ล่าง

ไม่มากไม่น้อย ไม่ดีไม่ร้าย ไม่ถูกไม่ผิด ไม่สุขไม่ทุกข์ ...มันมีอยู่สภาวะอาการเดียวคือ...รู้กับเห็น นี่ให้อยู่ที่ใจดวงนั้น ให้ตั้งลงที่ใจดวงนั้น

เพราะนั้นสตินี่ มันเป็นอุปกรณ์ เหมือนแว่นขยาย  ...ตาธรรมดามันมองไม่เห็นหรอก ตามันสั้น  ตายาวบ้างตาสั้นบ้าง นี่คนทั่วไปนี่ มันไม่มีอุปกรณ์คือแว่นขยาย

พระพุทธเจ้าเลยเอาแว่นขยายมา คือสติสมาธิปัญญาหรือมรรคแปด เพื่อให้มันขยายให้เห็นว่า...มันมีใจอยู่นะ ทุกขณะเลย ...ดูดีๆ มีสติดีๆ ก็จะเห็นว่ามันมีอาการรู้อยู่ รู้อยู่ๆๆๆ รู้อยู่ตลอด

เนี่ย สติสมาธิปัญญาจึงเป็นอุปกรณ์ เพื่อให้ใจดวงนี้มันตั้งขึ้นมาอยู่เสมอ ...ไม่หายไปกับเสียง ไม่หายไปกับในอดีต ไม่หายไปกับอนาคต ไม่หายไปกับสภาวธรรมที่ต้องการ

ไม่หายไปกับความมุ่งมาดปรารถนาใดๆ ก็ตาม ...มันก็จะมีอยู่เดี๋ยวนี้ ตรงนี้ อยู่ตลอดเวลา ...เมื่อใดที่มีสติอยู่ตลอดเวลา ใจมันก็อยู่ตรงนี้ตลอดเวลา มันไม่ไปไม่มา

ไอ้ที่ไปมาน่ะไม่ใช่ใจ ...มันเป็นจิต หรือว่าจิตสังขาร หรือว่าความโลดแล่นทะยานอยากของจิต ...ใจไม่ไป ใจอยู่ตรงนี้  ถ้าใจออกจากนี้ไปเมื่อไหร่...ตาย ขันธ์นี้อยู่ไม่ได้แล้ว...ตาย

เพราะนั้นเมื่อใดที่ไม่เห็นใจ มันจะไปอยู่กับจิต และจะตามอาการของจิตไปไม่จบไม่สิ้น ...คิดอย่างงั้นไปอย่างงี้ คิดอย่างงี้ไปอย่างโง้น คิดอย่างงู้นอย่างงี้ 

นี่เรียกว่ามโนสังขาร จิตสังขาร...ไปเรื่อยไม่มีจบไม่มีสิ้น มันพาให้เดินไปมารอบประเทศไทยก็ได้ พาไปหาครูบาอาจารย์องค์นั้นองค์นี้ก็ได้ ...มันมาจากจิตสังขารทั้งนั้นแหละ

แต่ในขณะที่จิตสังขารไป มันมีใจอยู่ตรงนั้นด้วยหนา แต่ไม่เห็น ...ไม่เห็นเพราะไม่มีสติที่เรียกว่าเป็นสัมมาสติ มันเป็นสติที่มันมุ่งไปกับสิ่งที่มันรู้ เรียกว่าเป็นสตินอก ยังไม่ใช่สติใน สติที่ใจ

ถ้าท่านฟังเทศน์หลวงปู่ หลวงปู่ท่านจะพูดเรื่องดวงจิตผู้รู้บ่อย ...ให้ทำความแยบคายกับคำเทศน์ของหลวงปู่เรื่องดวงจิตผู้รู้ ว่ารู้อยู่...รู้อยู่ที่นี่ ที่เดียวเท่านั้น

ไม่ต้องคิดอะไรมาก อย่าไปคิดว่าจะต้องได้อย่างนั้น จะต้องเห็นอันนี้ จะต้องมีอย่างนี้ก่อน จะต้องพิจารณาให้เกิดความรู้ความเข้าใจตรงนั้นก่อน

ต้องเข้าใจว่าปัญญาวิมุตินี่ ไม่อาศัยการคิดค้น ...แต่อาศัยการรู้เห็นตรงๆ เอาใจดวงนี้รู้เห็นขันธ์ตรงๆ รู้เห็นกับเสียงตรงๆ รู้เห็นกับรูปที่กระทบตรงๆ ว่ามันเป็นอะไร

มันมีความเป็นสัตว์เป็นบุคคลไหม...ในเสียงนี่ ได้ยินมั้ย แล้วมันก็ดับไป ...เห็นความดับไปทุกขณะเวลา เห็นความเกิดเอง ตั้งอยู่เอง ไม่มีใครบังคับให้มันดับ มันก็ดับของมันเองนั่นแหละ

มันไม่ได้คิดค้นอะไร แต่ว่าอาศัยใจดวงรู้นี่...เห็นเลย เห็นเดี๋ยวนี้ เห็นอยู่กับเดี๋ยวนี้  ไม่ต้องไปหาอะไรมาให้มันเห็น...มันมี ไม่ต้องไปพิจารณาอะไรเพื่อให้เกิดความรู้ขึ้นมา

ความรู้นอกไม่เอา ...รู้นอกไม่เอา เอารู้เดี๋ยวนี้ รู้ตรงนี้ รู้ในสิ่งที่ปรากฏตรงนี้ ...ถ้าไม่มีอะไร ถ้ามันยังจะหา ก็ให้รู้ว่าอยากหา ก็ให้เห็นว่ามันกำลังอยากหา

แล้วไม่เอา ไม่ตามมัน กลับมาอยู่ที่รู้ไว้ ...ถ้ายังไปอีกๆ ให้กลับมารู้กายไว้ เห็นกายไว้ เอากายเป็นหลัก เอากายเป็นที่ระลึกรู้ เรียกว่ากายคตาสติ

รู้เฉยๆ ไม่ต้องคิดเรื่องกาย ...ถ้าทางสายของเจโตเขาจะต้องม้างกายแยกกาย ...แต่นี่ไม่ต้อง รู้ไปตรงๆ ที่ความรู้สึกตรงๆ ตึง ไหว ร้อน อ่อน แข็ง ขยับ นิ่ง เคลื่อน กระพริบ กลืนน้ำลาย 

มันรู้สึกขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว ดูที่ความรู้สึกในกายตรงเลย แล้วก็จะเห็นว่าไอ้ที่ไหวๆ นี่เป็นใคร ไอ้ตึงๆ นี่คือใคร ...ไม่บอกนะ มันไม่ได้บอกว่ามันเป็นอะไร ใช่ไหม

มันบอกไหมว่าเป็นท่าน มันบอกไหมว่าเป็นผม มันบอกไหมว่าเป็นชาย มันบอกไหมว่าเป็นหญิง มันบอกไหมว่ามันสวย มันบอกไหมว่ามันไม่สวย ...มันไม่บอก ใช่มั้ย

นี่เขาเรียกว่าใจดวงนี้มันเข้าไปรู้กายตรงๆ ไม่ต้องคิด ไม่ต้องนำ ไม่ต้องเอาตำรามากางแล้วก็ให้เห็นตามตำรา ...มันไม่เห็นตามตำรา แต่มันเห็นขันธ์ตามจริง

เขาไม่ได้พูดอะไรนะก้อนนี้ ...พูดไหม ไม่ได้พูดนะ เงียบใช่มั้ย  ไม่เคยบอกเลย...ข้าพเจ้าคือคน ข้าพเจ้าคือชาย ข้าพเจ้าคือหญิง ข้าพเจ้าคือกาย ข้าพเจ้าคือแขน ข้าพเจ้าคือขา ...มันไม่ได้ว่านะ

รู้ไปตรงๆ มันเป็นแค่ความรู้สึกหนึ่ง มันเป็นแค่การรวมตัวของปรากฏการณ์หนึ่งขณะ...เท่านั้นเอง  เดี๋ยวก็เปลี่ยนๆ พอมีอะไรมาสัมผัสสัมพันธ์มันก็เปลี่ยน

เดี๋ยวกระทบมันปุ๊บ มันก็เย็น  ปุ๊บ มันก็ร้อน  วุ้บ มันก็เมื่อยก็เจ็บ ...เนี่ย มันไม่ได้เป็นเรื่องของใคร มันไม่ได้เป็นธุระกงการอะไรของใคร แล้วมันก็ไม่ได้เกิดมาเป็นคุณเป็นโทษให้ใคร

ใจมันเห็นอย่างนี้ มันเห็นไปตรง..ตรงนี้ แล้วมันไม่หาอะไรที่ดีกว่านี้ แล้วมันไม่คิดว่าอะไรแย่กว่านี้ ...มันก็มีเท่าที่มันปรากฏนี่แหละ รู้เห็นตามที่มันปรากฏในปัจจุบัน


(ต่อแทร็ก 5/27)




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น