วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2559

แทร็ก 5/27 (2)


พระอาจารย์
5/27 (541122B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
22  พฤศจิกายน 2554
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 5/27  ช่วง 1

พระอาจารย์  –  มันจะเห็น นี่ กิน ยืน เดิน นั่ง นอน ...มันก็จะเห็น ระหว่างกิน ระหว่างขี้ ระหว่างเยี่ยว ก็จะเห็นอสุภะอยู่ตลอด ...กายนี่มันก็เป็นอสุภะให้เห็นทั้งวันน่ะแหละ

เดี๋ยวก็เหงื่อออก ถ่ายออก มีขี้ไคล ขี้มูก ขี้ตา มันก็เห็น  เดี๋ยวก็ตรงนั้นจับต้องแล้วมันรู้สึกว่าน่าเกลียด ไม่น่าใคร่  มันก็เห็นเป็นอสุภะโดยไม่ต้องพิจารณา ...มันเห็นเองนี่

ขี้ก็เห็น ได้กลิ่นเหม็นนี่ ออกมาจากไหนล่ะ ...นี่ มันรู้สึก ใจมันเห็นตรงนั้นเลยนะ ไม่ต้องคิดแล้ว  เยี่ยวก็มี  น้ำตา น้ำลาย มีหมดน่ะ มันต้องมีในระหว่างวัน

มันเห็น..มันเห็นในตัวของใจดวงนี้มันเห็นตรงนั้นเลย เห็นจริงเลย ...มันไม่ได้จำลองขึ้นมา หรือว่าคิดค้นขึ้นมา แต่อาศัยสติที่มันมีตลอดเวลา นี่

แล้วอาการที่ปรากฏก็ปล่อยให้มันเป็นไป...มาก-น้อย ถูก-ผิด...ช่างมัน  รู้ไว้..อย่าลืม  ระหว่างวัน..อยู่กับกายไว้ อย่าลืมกาย ยืนกายเป็นฐานไว้ อิริยาบถใหญ่ อิริยาบถย่อย

ไม่งั้นใจมันจะหลงง่าย หายง่าย ในบางอาการที่เป็นความรอบรู้มันปรากฏผุดโผล่ขึ้นมา ...พยายามตั้งมั่นไว้ที่กายมากๆ


ผู้ถาม –  เราใช้ลมได้ใช่ไหมครับ

พระอาจารย์ –  ลมก็ได้ แต่ลมมันละเอียดเกิน ...คำว่าละเอียดเกินคือหมายความว่า ใจมันมักจะเข้าไปหายในลม หายไปกับลม เข้าใจมั้ย มันมีแต่ลม มันไม่มีรู้


ผู้ถาม –  คือผมจะใช้การกลั้นลมหายใจ กับถอนหายใจเพื่อเรียกสติ

พระอาจารย์ –  ก็ได้ ...เรียกสติน่ะได้


ผู้ถาม –  แล้วก็จากนั้นก็จะปล่อย

พระอาจารย์ –  ก็ปล่อยเป็นธรรมชาติ พยายามรักษากายธรรมชาติไว้ ...ลมนี่ มันจะเห็นเป็นวรรคเป็นตอน


ผู้ถาม –  เอาลมเป็นอารมณ์นี่ จะอยู่ได้ไม่นาน

พระอาจารย์ –  ใช่ เอากายส่วนใหญ่ไว้ เอาความรู้สึกในกายหรือกายเวทนา อย่าลืม แล้วก็ดูรูปสังขาร คือรูปกายเคลื่อนไหว หรือความรู้สึก การกระทบสัมผัส 

พวกนี้ เอาเป็นหลักไว้ อย่าลืม อย่าทิ้งกาย เพื่อให้ใจมันรู้ชัดขึ้นมา


ผู้ถาม –  ครับ เมื่อเราใส่เจตนาลงไปในการดู เช่นเวลาเดิน เรากำหนดลงไปตรงกระดูกสะโพก เพื่อให้เห็นกระดูกขาเคลื่อนไหวภายใน เหล่านี้เป็นเจตนาที่มันจะขัดกันไหม

พระอาจารย์ –  ไม่ขัดหรอก ...แต่คราวนี้ว่า เราไม่อยากให้มันเข้าไปเห็นรูป..ซ้อนรูป เข้าใจมั้ย ...คือมันเป็นรูปนิมิต มันเป็นนิมิตขึ้นมา แล้วบางทีเราไปสร้างนิมิตขึ้นมา

ให้ดูไปตรงๆ ดูที่ความรู้สึก ดูความรู้สึก ...รู้สึกนี่ ท่านขยับ ท่านไหวนี่ รู้สึกว่าไหว  มันไม่มีนิมิต มันเป็นความรู้สึกที่เป็นเวทนาจริงๆ ...ดูตรงๆ

เพราะไอ้ที่แข็งๆ นี่มันกระดูกอยู่แล้ว จริงๆ มันไม่ต้องคิดว่าเป็นกระดูก มันแข็งเพราะกระดูก ที่มันยึดอยู่ได้นี่ ที่มันรู้สึกว่าแข็งจริงๆ คือกระดูก

แต่เราไม่ต้องนึกถึงกระดูก มันแข็ง..นึกถึงว่าแข็งพอแล้ว นึกถึงว่ารูปสังขารมันหยัดไป มันเป็นมวล แค่นั้นเอง มันเป็นก้อน ดูความรู้สึกมากๆ แล้วก็ให้รู้

เราไม่สนใจเพ่งเอากายเพื่อหารายละเอียดในกายนะ ...แต่เพื่อให้ตีคู่สองสิ่ง เข้าใจมั้ย กายเป็นอุบาย กายเป็นลักษณะของเครื่องระลึกรู้..เพื่อให้ใจนี่ปรากฏ

รู้เห็นกับกาย นี่คือให้เห็นของสองสิ่งระหว่างกายอันหนึ่ง..รู้อันหนึ่งแต่ถ้าท่านไปจดจ่ออยู่กับกายนี่ ท่านจะไปค้นนิมิตในกายนี่ เห็นมั้ย ระหว่างนั้นนี่ ท่านจะลืมรู้ จะไปอยู่กับนิมิต เข้าใจมั้ย

แล้วเข้าใจว่านิมิตนั่นจะดีขึ้น เข้าใจรึเปล่า ...ไม่เป็นกลางนะ ท่านหมายมั่นนะ ท่านหมายมุ่งไปในอนาคตนะ  จิตมันล้ำไปข้างหน้าแล้ว ใจมันล้ำไปอนาคตแล้ว

กลับมารู้เฉยๆ อยู่ที่รู้เห็น รู้สึกเฉยๆ แล้วมีรู้อยู่...อยู่ที่ตรงนี้ แล้วก็...แล้วแต่มันจะเป็นไป เห็นเท่าไหร่ ชัดก็คือชัด ไม่ชัดก็คือไม่ชัด ...มีรู้อยู่แค่นั้นพอแล้ว เข้าใจมั้ย


ผู้ถาม –  แล้วอันนี้มันจะเกิดเองตามธรรมชาติเลย ถ้าเราไม่กำหนดอะไรเลย ตัวนี้มันจะเกิด

พระอาจารย์ –  นั่นแหละให้มันอยู่ตรงนี้ ให้มันพอดีแค่ตรงนี้ ...ไม่งั้นน่ะ ลึกๆ ท่านมันจะล้ำ มันจะไปล้ำเอาสังขารธรรมข้างหน้า ...มันไม่พอ

เข้าใจคำว่าไม่พอมั้ย ...มันอยาก มันมีความอยากในสังขารธรรมข้างหน้านั้นใช่มั้ย มันไม่อยู่กับปัจจุบันจริงๆ นะ ถ้ารู้อยู่กับปัจจุบัน มันจะ..อะไรก็ได้ ยังไงก็ได้ แล้วก็แค่นั้นน่ะ  

รู้เบาๆ เห็นเบาๆ มีรู้เห็นอยู่นิดนึงพอแล้ว แต่ว่ามีรู้อยู่เห็นอยู่ตรงนั้นพอแล้ว แล้วก็ปล่อยให้ขันธ์เขาเป็นธรรมชาติของขันธ์ แล้วแต่เขาจะแสดงความรู้สึกอย่างไร

เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ชัด-ไม่ชัด ย้ายไปย้ายมายังไงก็ช่าง ...ให้เห็นว่าเป็นแค่อาการสักแต่ว่าอาการ ไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่เรื่องของใคร ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา นะ

นั่นแหละ ให้ใจมันเห็นเป็นไตรลักษณ์ซะ ...อย่าไปหาอะไรให้มันเห็น ไม่งั้นน่ะ ท่านก็จะไปหมายมั่นในนิมิตที่เป็นอนาคต ...อนาคตเป็นนิมิต อดีตก็เป็นนิมิต  ปัจจุบัน...จริงๆ ก็เป็นนิมิต 

ต่อไปถ้าท่านอยู่เรื่อยๆ แล้วท่านจะเห็นว่าปัจจุบันเองมันก็ไม่เที่ยง ดับหมดน่ะ ...กายปัจจุบันก็ไม่มี มันปรากฏอยู่ชั่วคราว เวลาท่านเดิน ท่านจะเห็นเลย ข้างหลังท่านดับๆๆๆ ดับตามหลังอยู่ตลอด

ความรู้สึกของขา ของแขน ของมือ ของตัว มันหายไปทุกขณะเลยที่เดิน ทุกขณะที่ย้าย เคลื่อน ไม่อยู่หรอก มันปรากฏเป็นปัจจุบันอยู่แค่แป๊บเดียว แค่นั้นเอง

แต่รู้เห็นนี่ ไม่เกิดไม่ดับ มีอยู่อย่างนั้นน่ะ ...ใจ..เป็นอมตะธาตุ อมตะธรรม เป็นของไม่เกิดไม่ดับ เป็นของที่ไม่สามารถจะแบ่งแยกเชือดเฉือนออกได้ ฆ่าไม่ตาย เพิ่มไม่ได้ ลดไม่ได้

มันเป็นธรรมที่ เหนือธรรมชาติทั้งปวง  มันเกิน..เกินสมมุติบัญญัติ ที่จะเอาภาษาบัญญัติได้ ...นั่นแหละใจ

เจริญสติให้มาก สติไม่ใช่มากเพื่ออะไร..เพื่อให้รู้เห็น มีรู้มีเห็นปรากฏ ธรรมชาติรู้เห็นที่เป็นรู้เห็นเป็นกลาง ไม่ใช่รู้เห็นที่จงใจสร้างขึ้น รู้เห็นจริงๆ ที่เป็นกลางขึ้นมาตรงขณะนี้ เดี๋ยวนี้นั่นแหละ

แล้วก็ทำความชัดเจนในสัมมาสติให้มากขึ้นไป ใจก็จะชัดตามนั้น แล้วก็อาศัยใจดวงนั้นน่ะเป็นผู้รู้ผู้เห็นไป สังเกตอาการของขันธ์ไป ไม่เลือก ไม่แบ่ง ยังไงก็ได้ แล้วแต่มันจะปรากฏ

ไม่มีอะไรคือไม่มีอะไร มีคือมี มากคือมาก น้อยคือน้อย เห็นคือเห็น ไม่เห็นก็ไม่เห็น เข้าใจมั้ย ให้มันตรงที่สุดกับปัจจุบันแค่นั้นแหละ ไม่เลือกไม่เฟ้น ไม่หา ไม่สร้าง ไม่ทำลาย นั่นแหละ กลาง มัชฌิมา

เอ้า พอแล้ว ...ไม่มีอะไรหรอก ธรรมก็มีอยู่แค่นี้แหละ รู้เห็นมันไป  อย่าลืมรู้อย่าลืมเห็นแค่นั้นแหละ ...ถามตัวเองบ่อยๆ สอดส่องดูตัวเองบ่อยๆ รู้มั้ยเห็นมั้ย เดี๋ยวนี้มีรู้มั้ย มีเห็นอยู่มั้ย

แค่นั้นแหละ ไม่ต้องมากมายกว่านั้นแล้ว ...ส่วนมันจะเห็นอะไร มันจะรู้อะไร ไม่ใช่เรื่อง มันจะยังไงก็ได้ รู้อะไรก็ได้ เห็นอะไรก็ได้ สำคัญว่ารู้มั้ย เห็นมั้ย ...ตรงนั้นสำคัญ

สำคัญที่ใจรู้ใจเห็น ไม่ได้สำคัญในสิ่งที่รู้สิ่งที่เห็น ...เพราะนั้นอะไรก็ได้ที่มันเห็น จะดีร้ายถูกผิด ละเอียด หยาบ ประณีต ไม่เข้าใจ ไม่ชัดเจน รู้ไปเห็นไปว่ามันไม่ชัด ว่ามันชัด ...อะไรก็ได้

แล้วไม่ต้องเรียกขานหาชื่อหาเสียง...ว่ามันคืออะไร มันถูกหรือมันผิด อย่าไปคิดต่อ ...ให้รู้ว่าไปทะยานออกไปอีกแล้ว

กลับมารู้เห็นธรรมดากับทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นธรรมดา แค่นั้นแหละ ปัญหามันจะน้อยลงไป ความเข้าใจมันก็เกิดขึ้นตรงนั้น ว่าไม่มีอะไรหรอก ไอ้สิ่งที่รู้เห็นน่ะมันจะเป็นยังไงก็ได้ 

เพราะโลกมันเป็นอย่างนี้ เพราะขันธ์มันเป็นอย่างนี้ มันเป็นเรื่องของความปรุงแต่ง มันหาความแน่นอน หาความมั่นคงไม่ได้ ไปคะเนมันไม่ได้หรอก

ไปคาดหมายคาดหวังกับมันไม่ได้ บนโลกนี่ ...น้ำท่วม ฝนตกแดดออกนี่ คาดไม่ได้อ่ะ มันจะมายังไง ปรากฏยังไงก็เรื่องของมัน

เพราะนั้นการที่ใจมารู้เห็นขันธ์ตามตรงนี่ มันจะไม่เข้าไปคะเน ไม่เข้าไปคาดเดากับขันธ์ ไม่หวังกับมันด้วย มันอ้อ...เห็นยังไงก็เห็นยังงั้น รู้ยังไงก็รู้ยังงั้น

ใจรู้ใจเห็นก็จะแน่วแน่ แนบแน่น ตั้งมั่น ชัดเจนในตัวของมัน ...ไม่ใช่ไปทำความชัดข้างนอก หรือสิ่งที่ถูกรู้ ไม่ทำความชัดในขันธ์ ...ใจต่างหากที่มันจะชัดขึ้นมา

เมื่อมันชัดขึ้นมา มันก็จะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างชัดเจนเอง...ว่าไม่มีอะไร ...ไอ้ที่ชัดเจนในสิ่งนั้นน่ะคือมันไม่มีอะไร ไม่มีความเป็นสัตว์ ไม่มีความเป็นบุคคล ไม่มีความเป็นใครของใคร ไม่มีความเที่ยง ไม่มีความที่มันดำรงจับต้องได้

มันจะชัดเจนในส่วนนั้น ไม่ใช่ว่าชัดเจนในลักษณะอาการว่านี่เรียกว่าอะไร ถูกหรือผิด ดีหรือร้าย อันนั้นมันเป็นเรื่องของความเห็น ไม่ใช่ความจริง

แต่ความจริงสูงสุดของธรรมทั้งหลายทั้งปวงคือไตรลักษณ์ ...มันจะไปชัดเจนในธรรมทั้งหลายทั้งปวงว่าเป็นไตรลักษณ์ นั่นแหละ

แต่ต้องใจรู้ใจเห็นมันชัดเจน..มากๆ ก่อน ...ทุกอย่างก็จะชัดเจนขึ้นมา เหมือนแว่นที่มันขยายเข้าไปใน...ตาใจ

แต่เบื้องต้นต้องส่องก่อน...ส่องกายส่องใจก่อน  แล้วก็จากนั้น ตาใจมันก็จะขยายชัดเจนตามความเป็นจริงขึ้นมา ...เอาล่ะ พอ


.................................




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น