วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2559

แทร็ก 5/28 (2)


พระอาจารย์
5/28 (541127A)
27  พฤศจิกายน 2554
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 5/28  ช่วง 1

พระอาจารย์ –  เพราะนั้นมันต้องรักษาใจให้อยู่ในปัจจุบัน  ถึงไม่อยู่ก็ต้องให้อยู่ ไม่งั้นมันไม่อยู่ ..ไม่งั้นพระพุทธเจ้าท่านไม่บัญญัติ ท่านไม่สอนเรื่องศีลสมาธิปัญญา

เพราะศีลสมาธิปัญญามันเป็นเครื่องมือ อุปกรณ์ ...สติ สมาธิ ปัญญา เพื่อจะให้ใจมันหยุดอยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุด ให้นานที่สุด เร็วที่สุด

เพราะนั้น เมื่อเกิดอาการนี้ มันต้องทนอยู่น่ะ ...มันต้องทน มันต้องทนอยู่กับ “รู้กายๆๆ”

ถ้าไม่เจริญสติ เรียกสติ หรือว่าตั้งสมาธิขึ้นมาด้วยการให้ระลึกรู้ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งในปัจจุบันธรรมนะ มันไม่อยู่หรอก มันจะไปของมันเรื่อยเปื่อยน่ะ

มันจะไปจมอยู่กับกองอารมณ์ หรือว่ากองอดีตอนาคตอยู่อย่างนั้นน่ะ มันจะไม่อยู่กับปัจจุบันเลยเพราะนั้นอยู่ดีๆ จะให้มันอยู่กับปัจจุบันเอง ไม่มีทางนะ

ไม่งั้นไม่มีพระพุทธเจ้ามาสอนแล้ว จิตไม่มีทางดีเองหรอก ต้องให้อบรม ...ปล่อยยังไงๆ มันก็เข้ารกเข้าพงอยู่ตลอด ไม่มีทางหรอกที่มันจะดีได้ด้วยตัวของมันเอง

มันก็ต้องอาศัยสติสมาธิปัญญาเป็นเครื่องสอนใจในเบื้องต้น ...เพราะนั้นการที่กลับมารู้กายๆๆ นี่ มันน่าเบื่อ มันต้องทน ...เพราะถ้าไม่ทำอย่างนี้ มันไม่มีทางอยู่กับปัจจุบัน

แต่ว่าถ้าทำไปจนมีปัญญาเป็นปัจจัตตัง เกิดความแยบคาย รู้ชัดเห็นชัด เกิดความเข้าใจในปัจจุบันธรรมของกาย การตั้งอยู่ของกาย ...กายคือกาย ใจคือใจ

มันก็เห็นกายตามความเป็นจริงคือ..กายคือกาย ...กายไม่ใช่เรา กายไม่ใช่ของเรา  กายไม่ใช่หญิง กายไม่ใช่ชาย ...นี่ ปัญญามันเกิด

พอมันเกิดแล้วมันก็ไม่ค่อยส่ายแส่แล้ว ...แล้วพอมันเกิดอย่างนั้นแล้วมันจะมีความรู้สึกว่าระงับ เย็น เบา ไม่หนัก ไม่แบก ไม่หาม ไม่เป็นภาระ

พอมันเห็นกายเป็นอย่างนั้นแล้วรู้สึกกายไม่เป็นภาระ มันก็เลย..คราวนี้ไม่ต้องบอก ไม่ต้องทนอยู่กับรู้กาย ...มันก็อยู่แบบสบายๆ เป็นที่อยู่ 

เป็นที่อาศัยที่ดี เป็นบ้านที่ดีที่อบอุ่น ...มันก็ไม่ได้หนีออกนอกบ้าน ไปเที่ยวเตร็ดเตร่ ...เหมือนควายไปกินหญ้า ไปกินข้าวในนาคนอื่น อะไรอย่างนี้

สติสมาธิปัญญา ศีลสมาธิปัญญาจึงเป็นเครื่องอบรม เป็นเครื่องมือ เครื่องใช้ไม้สอย ที่จะอบรมจิต ไม่ให้จิตมันกำเริบ..กำเริบไปในอดีตในอนาคต กำเริบไปในสัตว์บุคคลอื่น

เมื่อจิตมันไม่กำเริบ ไม่วิปลาสคลาดเคลื่อนไปจากกายใจดวงนี้ ...ภาวะใจมันก็จะเด่นชัดขึ้น ใจรู้ใจเห็นที่มันมีอยู่เสมอ มันมีอยู่แล้ว ใจนี่มันมีอยู่ตลอด

มันไม่ใช่ว่าต้องไปหา หรือว่าต้องทำขึ้นมา ...ไม่มีอะไรทำลายใจได้ ไม่มีอะไรแทรกซึมในใจได้ ไม่มีอะไรทำให้ใจนี้แตกสลายได้ ไม่มีอะไรทำให้ใจนี้ดีขึ้นหรือร้ายลงได้

กิเลสหรืออาสวะมันเป็นแค่สิ่งที่ปกคลุมใจอยู่เฉยๆ ...ใจนี่ไม่มีทางบริสุทธิ์มากกว่านั้นหรอก ไม่มีทางบริสุทธิ์น้อยกว่านั้นหรอก  ใจคือใจ ทำให้บริสุทธิ์ก็ไม่ได้ ทำให้ไม่บริสุทธิ์กว่านั้นก็ไม่ได้

แต่ไอ้ที่รู้สึกว่าใจไม่ดี ..เอ๊ะ ทำไมใจดี ทำไมใจไม่ดี ...นั่นไม่ใช่ใจ ให้รู้ไว้เลย...จิต มันมาครอบงำ มันมาปกคลุม...ไม่ใช่ใจ 

ที่เห็นว่า เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ขึ้นๆ ลงๆ ...นั่นไม่ใช่ใจ ให้รู้ไว้เลย...จิต จิตมันขึ้น จิตมันลง จิตมันแปรปรวน จิตมันกำเริบ จิตมันกระเหี้ยนกระหือรือ ทะเยอทะยาน  จิตมันจะพุ่งไปข้างหน้าข้างหลังอยู่เสมอ

เหมือนนิวเคลียสน่ะ แล้วมันมีอิเล็กตรอนวิ่งวนอยู่รอบโมเลกุล อะตอมน่ะ ...ใจมันเป็นแกนกลาง ใจมันเป็นศูนย์รวมของสรรพสิ่ง เป็นต้นกำเนิด เป็นที่ตั้ง เป็นจุดกำเนิดของสรรพสิ่ง

แล้วใจนี่ มีก่อนโลกอีก ใจนี่มีก่อนจักรวาล ใจนี่มีก่อนอนันตาจักรวาล พวกนี้เกิดทีหลังใจหมดน่ะ ...เพราะใจนี่เป็นอนันตกาล ไม่เกิดไม่ดับ ไม่เปลี่ยนไม่แปลง ไม่แบ่งไม่แยก

ใจเป็นหนึ่ง ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ...ไม่ใช่ประธานแค่ในรูปขันธ์เท่านั้นนะ เป็นประธานหมดอนันตาจักรวาลนั่นแหละ ในทุกสรรพสิ่ง ...ใจนี่มันครอบคลุมหมดทุกสรรพสิ่ง

เพราะนั้นการที่เรามาเกิด...ได้รูปขันธ์นามขันธ์มานี่ เหมือนกะลา กะลามาครอบ มาครอบช่องว่างที่เราเรียกว่าอากาศ เหมือนกับช่องว่างหรืออากาศ แล้วก็มาบอกว่าในอากาศในที่ว่างนี่เป็นใจเรา

มันจะมีกบอยู่ตัวนึงในกะลาน่ะ มันก็ร้องอ๊บๆ อยู่ในนั้น...นี่ “กู” นี่ตัวเรา  ไอ้ข้างในนี่ก็เป็นเรา เป็นความคิดของเรา เป็นอารมณ์ สุข ทุกข์ เรื่องราวของเราหมดน่ะ 

แต่พอหงายกะลาออกนี่ มีอะไร ...มีความว่าง เหมือนกันหมด นั่นน่ะใจ ...แต่ว่าใจไม่ใช่อากาศ ใจไม่ใช่ความว่าง ใจมันยิ่งกว่านั้นอีก มันครอบคลุมทุกสรรพสิ่ง ...ถึงบอกว่าเป็นใจเดียวกันหมด

เพราะนั้นพอกะลาหงายขึ้นมานี่ มันมีสภาพเหมือนกันมั้ย เหมือนกันหมดน่ะข้างใน ไม่มีอะไรเหมือนกันหมด ...นั่นแหละคือความเป็นใจที่ครอบคลุมทุกสรรพสิ่ง

 เพียงแต่ว่าความไม่รู้นี่ พอมีขันธ์มาครอบงำใจไว้ ...มันก็เข้าใจว่าใจนี้เป็นดวงหนึ่ง เป็นดวงหนึ่งของเรา ...นี่ โง่ ยังไม่รู้

แต่ถ้าเราฝึกไปเรื่อย เจริญสติ สมาธิตั้งมั่นอยู่ที่ใจรู้ใจเห็นนี่ ...ใจดวงนี้มันจะแผ่ขยาย กระจาย ว่าง ไม่มีนอกไม่มีในอะไรกับตรงไหนมาครอบงำได้

มันทะลุธาตุทะลุขันธ์ ทะลุเหนือทะลุใต้ ทะลุจักรวาลได้หมดน่ะ ...จนไม่มีอะไรมาปกปิด ปิดบังใจนี้ได้เลย มันจะเห็นเอง ว่าใจที่แท้จริงนั้น มันจะเป็นเหมือนกับความสว่าง ความแจ้งออกไปทุกที่ทุกทาง

ไม่ใช่แจ้งนิมิต ไม่ใช่แจ้งด้วยแสงสว่าง ...แต่มันเป็นความแจ้งในตัวของมันเอง โดยสภาวะของธาตุรู้ ...จนมันทะลุสุดขอบอนันตาจักรวาลเมื่อไหร่ มันเปิดพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน

เหมือนพลิกแผ่นดิน พลิกสามโลกธาตุ ...ออกไปพลิก...เหมือนกับเปิดกะลาน่ะ พลิกออก เปิด เหมือนของคว่ำแล้วหงายขึ้น ...พลิกโลกธาตุ ทะลุออกหมด

มันก็จะเข้าไปเห็นที่สุดของใจ...คือนิพพาน นิพพานธาตุ นิพพานธรรม ...ที่เขาเรียกแดนนิพพานน่ะ จริงๆ มันไม่ได้เป็นแดนหรอก เพราะมันไม่มีขอบเขต ไม่มีที่ตั้ง ไม่มีประมาณ 

มันเหนือบัญญัติ เหนือสมมุติ เหนือธรรมชาติทั้งหลายทั้งปวง..ที่เกิดและดับ ...เพราะนั้นตัวใจนี่มันจะเป็นตัวลิงก์เข้าไปจนถึงภาวะนั้น ที่สุดของใจ...ก็ถึงนิพพานธาตุ ที่สุดของใจคือธรรมชาติของธาตุรู้

แต่ถ้ายังมาตายอยู่ในกะลานี้ละก้อ เหมือนปูเสฉวน...พอกะลาแตกแล้วกูก็หากะลาใหม่ เพราะเข้าใจว่ากะลาเก่ามันใช้ไม่ได้ ไม่ดี กะลาใหม่น่าจะดีกว่า 

นี่ กบมันร้องอยู่ข้างในนั้น ...กบนั่นแหละคือเรา กบนั่นแหละคือความเห็นว่าเป็นเรา ...กบนั้นถูกสร้างมาด้วยความไม่รู้ แล้วมันก็อวดรู้ ...ไม่รู้...แล้วมันอวดรู้ด้วยนะ

โชว์ออฟ ของกูดีกว่าของมึง ไอ้ข้างในของกูนี่สว่างกว่าของมึง  สภาวะนี่ โห เลิศเลย ...นี่ กบในกะลา เอาความเป็นไปในกะลานี่มาอวดกัน แล้วว่ารู้จริงรู้แจ้ง

จริงยังไง เนี่ย ถึงบอกว่า สะเก็ดดินน่ะ เอามาคุยกันแล้ว เอามาโอ้อวดกันแล้ว อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ ...มันคือกบในกะลา อ๊บๆๆ เสียงดังหน่อยแค่นั้น

เพราะนั้นการภาวนาทั้งหมดเพื่อพลิกกะลาออก เปิดของคว่ำให้หงายขึ้น คลายออก ...ให้มันเห็นว่าขันธ์เป็นแค่กะลา มันเป็นแค่เสื้อผ้าห่อหุ้มใจ แค่นั้นเอง เป็นม่านมาคลุมมาบังไว้

เป็นม่านที่เกิดจากความโง่เขลาในอดีต ไปสร้างกุศลกรรม อกุศลกรรม อัพยากฤตกรรม เจตนาต่างๆ นานา มันก็หล่อหลอมรวมขึ้นมาเป็นธาตุเป็นนาม เป็นรูปขันธ์นามขันธ์ มาห่อหุ้มใจเป็นดวงดวงหนึ่ง

เพราะนั้นใจจริงๆ เวลามันอยู่ในจิตของมนุษย์ปุถุชน ท่านก็เรียกว่าเป็นใจดวงหนึ่ง  นั่นก็เป็นใจดวงนึง นี่ก็เป็นใจดวงนึงๆ ...แต่จริงๆ น่ะเป็นใจดวงเดียว มันไม่ใช่เป็นดวงๆๆๆ ของใครของมันหรอก 

แต่ด้วยความที่พูดกันให้ง่าย เพื่อให้เข้าใจกันก่อน ก็เรียกว่าเป็นใจดวงเดียวกัน แล้วก็อยู่ข้างในนี้ก่อน ...แล้วพอมันโล่งแจ้งออกไป ทะลุขันธ์นี้ออกไป 

หรือเห็นขันธ์นี้ไม่มีสาระแก่นสารแล้ว หรือเห็นขันธ์เป็นแค่ของสิ่งหนึ่ง ที่ไม่มีความหมายใดๆ ในตัวของมันเอง ไม่มีชีวิตจิตใจ มันเป็นของตาย มันเป็นของที่ไม่ใช่มีสัตว์บุคคลอะไร

มันก็จะเห็นว่าขันธ์คือความว่าง ขันธ์คือของว่าง ขันธ์คือตั้งอยู่บนความว่าง ...แม้จะมีอยู่ตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่บนความว่าง จากตัวสัตว์และบุคคล จากความเป็นตัวของมันเอง เป็นธรรมชาติที่ปรากฏบ่ดาย

นั่นน่ะ ใจมันถึงจะเปิดทะลุออกจากกองขันธ์นั้นๆ ที่เรียกตามสมมุติว่ารูปหรือนาม ...เหมือนกันหมดน่ะ ความคิดก็คือกองหนึ่ง เหมือนกองกระดูก

กระดูกก็คือกองหนึ่ง เนื้อก็คือกองหนึ่ง ความจำ ความสุข ความทุกข์ ก็คือของกองหนึ่งๆ ท่านเรียกว่า “ขันธ์” ...ขันธ์คือกอง มีห้ากองใหญ่ๆ

มันก็ไม่ใช่ดี มันก็ไม่ใช่ร้าย มันก็ไม่ใช่ถูก มันก็ไม่ใช่ผิด มันก็ไม่ใช่เป็นคุณ มันก็ไม่ใช่เป็นโทษ มันไม่เป็นอะไรสักอย่างน่ะ ...เพราะมันว่าง ในการก่อเกิดเป็นอัตตานั้นๆ น่ะ มันว่าง เป็นอัตตาที่ว่างๆ

แต่กบไอ้นี่มันมักจะหลงอัตตา เข้าไปหลงในอัตตาตัวตนนั้นๆ ไปกำหนดให้ค่า ...อย่าไปฟังมัน  สติคือรู้ สมาธิคือตั้งมั่นอยู่ที่รู้ ปัญญาคือเห็น แค่นั้นแหละ ทำอยู่แค่นั้นแหละ 

อย่าไปฟัง...นอกนั้นอย่าไปฟัง อย่าไปฟังเสียงกบเสียงกา ทั้งกบกูกบมึงน่ะ ...มันไม่ใช่มีกบคนเดียวนะ คนอื่นก็เป็นกบ อ๊บๆๆๆ ร้องระงมไปทั่วนี่ เสียงนกเสียงกา

รู้ไว้ เห็นไว้ ตั้งมั่นไว้ อยู่ที่รู้ที่เห็น แล้วก็เห็นว่า..เอ้ย มันเป็นอะไรกันวะ มันเป็นแค่ของเกิดขึ้นแล้วก็ของดับไปแค่นั้นเองน่ะ ...เนี่ย มองให้เห็นแค่นั้นน่ะ มองเห็นแค่นั้นพอแล้ว

ไม่ต้องไปรู้ปีนบันไดดู เหมือนนั่งฟังซิมโฟนี่น่ะ ต้องปีนบันไดไปฟัง เพราะมันระดับคลาสสิค คิดว่าการปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องของคลาสสิค คลาสสิคอล ไม่ใช่เพลงลูกทุ่ง

เราบอกว่า โอ้ย ยิ่งกว่าลูกทุ่งอีก...มันธรรมดามากเลย เป็นธรรมที่ตรงไปตรงมา ...ไม่ใช่โกงไปโกงมา ไอ้นักปฏิบัติธรรมนี่มันโกงไปโกงมา มันมีเล่ห์ มันมีเหลี่ยม

อ่านเอาซะลึกซึ้งซับซ้อน อู้หูย ไม่งั้นไม่ถึง ไม่งั้นไม่เห็น แล้วก็วาง..ดักหน้าดักหลัง ดักข้าง ดักบนดักล่าง โอ้โห มันวางโปรเจ็คท์ วางแพลนการภาวนาซะจนรู้ตรงๆ ไม่ได้ 

แหม มันไม่เหมือนคนอื่นเขา ไม่เท่าคนอื่นเขา เนี่ย อ๊บๆ อ๊บๆ ร้องเข้าไว้กบ แข่งกัน ใครเสียงดังน่ะมันก็น่าเชื่อหน่อย อึ่งอ่าง เหมือนอึ่งอ่าง จากกบมันจะเป็นอึ่งอ่าง มันก็ดังสนั่นหวั่นไหว เหมือนกะละมังแตก

แต่ธรรมจริงน่ะเงียบ ...ขันธ์ก็เงียบ ใจก็เงียบ จิตก็ไม่มี มีแต่เกิดดับๆๆ เงียบหมด ...มันจะไม่วิเวกได้ยังไง มันจะไม่เป็นกายวิเวก จิตวิเวกและอุปธิวิเวกได้ยังไง

ก็ธรรมชาติของมันจริงๆ มันวิเวกในตัวของมันอยู่แล้ว  ธรรมชาติของใจมันก็คือน้ำนิ่ง น้ำคือน้ำ ไม่มีคลื่นลมในตัวของมันอยู่แล้ว ธรรมชาติของน้ำ..เย็นอยู่อย่างนั้น เป็นความสงบระงับอยู่ภายใน ในตัวของมันเอง

เพราะนั้น อย่าไปกระโดดโลดแล่นกับโลก กับอาการของโลก กับความเป็นไปของโลก ...มันไม่มีอะไรหรอก มันก็เป็นอย่างนี้ ตายแล้วมาเกิดใหม่ก็จะเจออย่างนี้

โลกเขาก็จะเป็นอยู่อย่างนี้ ...เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวก็สมหวัง-ไม่สมหวัง มันจะเป็นอย่างนั้น ...จะไปกระโดดโลดแล่นหาอะไรกับมัน

กลับมาหยุดอยู่ที่กายใจนี้ไว้ก่อน อยู่ที่ใจดวงเดียวนี้ก่อน อยู่ที่ใจรู้ใจเห็นนี้ก่อน มากๆ เนืองๆ เป็นนิจ ...เอะอะๆ อะไรเกิดขึ้นๆ ก็รู้เห็นไว้ก่อน อยู่ที่รู้อยู่ที่เห็นก่อน

ไม่ต้องไปสงสัย ไม่ต้องไปกระโดดโลดเต้นกับมัน ไม่ต้องไปวิตกวิจารณ์ ไม่ต้องไปหาทางแก้ หาทางทำอะไรกับมัน ไม่เอาห้าเอาสิบอะไรกับมันน่ะ

คือรู้ละๆๆ รู้วางๆ  เห็นละ เห็นวาง  รู้อะไรก็ละ รู้อะไรก็วางไปหมด  วางโดยบางทีวางอะไรก็ไม่รู้ ...เวลาเราเรียนรู้ที่จะละวาง มันวางอะไรกูยังไม่รู้เลยมันวางอะไรก็ไม่รู้

มันวางกระทั่งอะไรก็ไม่รู้เลย นี่ มันปึ้บ..วาง ...ยังไม่ทันรู้เลย มึงดีร้ายถูกผิดรึเปล่าวะนี่ วางเลย ใจมันวางอย่างเดียวเลย รู้วางๆ เหลือแต่รู้โดดๆ เลย 

นั่น เหลือแต่รู้เพียวๆ เลย ไม่มีอะไรเกาะติด เหมือนกับอะไร...ปึ้บ มันร่วงๆๆๆ สลายหมด นั่นแหละ ตกหมดเลย มันไม่สามารถเกาะติดใจได้สักอย่างเลย

ไม่มีมิบไม่มีเม้มน่ะ ไม่มีเสียดาย ไม่มีเผื่อเหลือเผื่อขาดอะไร ไม่มีเผื่อข้างหน้าข้างหลัง ไม่มีเผื่อคนอื่นด้วย ...มันเป็นจำเพาะใจดวงเดียวเท่านั้น เหลือแต่จำเพาะใจดวงเดียวเท่านั้น คือใจรู้ใจเห็นน่ะ


(ต่อแทร็ก 5/28  ช่วง 3)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น