วันพุธที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2559

แทร็ก 5/28 (3)


พระอาจารย์
5/28 (541127A)
27  พฤศจิกายน 2554
(ช่วง 3)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 5/28  ช่วง 2

พระอาจารย์ –  พอถึงขั้นนั้นนี่ แม้แต่ปรมาณูของจิต...มันยังทิ้งเลย  ยังไม่รู้หน้าตาตัวตนมันคืออะไรดี ยังไม่ทันจะมาว่าเป็นสมมุติบัญญัติได้เลย...ทิ้งแล้ว

มันก่อเกิดขึ้นปั๊บ แค่แสดงอัตตาขึ้นมาเป็นอัตตาใดอัตตาหนึ่งของขันธ์...ไม่เอาแล้ว วางเลย วางโดยไม่อาลัยใยดีเลย ไม่เสียดาย ...มันคัดกรองออกอย่างนั้นศีลสมาธิปัญญานี่

มันคัดกรองของเสียออกหมด มันขัดเกลาน่ะ มันขัด ...เคยเห็นเพชรมั้ย เพชรที่มันอยู่ในโคลน เพชรนี่ไม่เคยไม่ใสในตัวของมันเองนะ คือมันใสโดยธรรมชาติของมันอยู่แล้ว

แต่มันอยู่ในโคลนน่ะ ถ้าไม่ขัดน่ะมันก็ไม่เห็นว่าใส ...แต่ความใสนี่มันใสอยู่แล้วหนา แต่ที่มันมองไม่เห็นว่ามันใส เพราะโคลนมาห่อหุ้มมันอยู่

สติสมาธิปัญญา...นี่คือขัดเกลา แล้วไม่เอาไปแช่โคลนอีก หรือไม่เอาโคลนมาปกปิดมันอีก ...แต่ไอ้พวกนี้ขัดก็ไม่ขัด แล้วยังเอาแต่หาโคลนมาพอกซ้ำอีก ...นี่มนุษย์

มันก็เลยไม่เห็นแม้แต่กระทั่งแสงสว่างแห่งใจ ..."เฮ้ย ใจมันสว่าง มันสว่างยังไงวะ ไม่รู้เลย" ...มันไม่เคยเห็น ไม่เคยเข้าไปเห็นว่า...อาโลโก มันเป็นยังไง

จักขุง อุทปาทิ ญานัง ...อาโลโก อุทปาทิ ญานัง... “มันสว่างยังไงวะ” เนี่ย...ทั้งที่มันสว่างอยู่แล้ว แต่ไม่เห็นหรอก เพราะมันหลายชั้น มันห่อหุ้ม

แต่สติสมาธิปัญญาที่เป็นสัมมา เป็นกลาง รู้ตรงๆ เห็นตรงๆ แค่นี้ ปึ๊บนึงนี่ แสงเกิดมาเท่าลูกตาเล็นน่ะ หรือว่าเท่าลูกตามด เอ้า มันก็เกิดความกระจ่างขึ้น...นิ๊ดดดนึง

โอ้ย แค่นี้ก็ดีแล้ว เนี่ย...รู้ๆ เห็นๆ นี่แหละ คือมันเข้าไปเปิดความสว่างของใจออก ขัดเกลาแล้ว...นี่ ถือว่าขัดเกลาแล้ว ที่บอกว่าไม่เห็นได้อะไร ไม่รู้อะไรเลยนี่

แต่มันเป็นการขัดเกลา ตั้งแต่...หูย มันพอกกี่ชั้นล่ะ ...ได้เห็นแสงสว่างของใจออกมาด้วยการรู้และเห็นตรงๆ นี่ มันเปิดออกแล้ว ...แต่ขณะเดียว แล้วก็ปึ้บ ปิดอีก

ถ้าขยันรู้ไปเรื่อยๆ ล่ะ ...มันก็ชำระน่ะ มันชำระ ขัดเกลา ...แล้วในระหว่างที่ขัดเกลานี่ มันอยู่ที่รู้อยู่ที่เห็นๆ มันไม่ได้ให้ความสำคัญอันใดกับสิ่งที่อยู่รอบข้าง หรือว่าสิ่งที่อยู่ต่อหน้าใจคือขันธ์

เมื่อมันไม่ให้ความสำคัญอื่นใด ใจมันก็จะเป็นกลางกับขันธ์ ...และเมื่อมันเป็นกลางกับขันธ์ มันก็จะเห็นขันธ์เกิดๆ ดับๆ นี่ มันก็เห็นไตรลักษณ์ไปในตัว

มันก็ยิ่งไม่สนใจอื่น ขัดเกลาอยู่ที่ใจที่เดียว ขุดค้นลงไปๆ มันขุดๆๆ ลงไปที่ใจ ...นี่ ไม่ได้ขุดด้วยความอยากนะ มันขุดลงไปด้วยสติสมาธิปัญญา ชำระอยู่ที่เดียวนั่นแหละ

ไม่ต้องทำให้มากเรื่องหรอก หรือไปเรื่องมากกับขันธ์ ...ขันธ์มันสัพเพเหระอยู่แล้ว โลกมันมีไม่ถ้วนน่ะ ใครจะไปรู้มันได้หมด ใครจะไปทำความแจ้ง ว่าไอ้นี่คือนั่น ไอ้นั่นคือนี่ ไอ้นั่นมายังไง ไอ้นี่ไปยังไง

ไม่รู้อ่ะ ไม่สนใจ มาแล้วก็ดับๆๆ ไม่สนใจ แค่นั้นเอง มันจะถูกมันจะผิด ไม่สนอ่ะ ...มันก็ดับให้เห็นอยู่ตรงนั้นน่ะ ถ้าเราไม่ได้ไปปรารภ ไปวิตก ไปวิจารกับมัน

เห็นมั้ย ถ้าไปปรารภ ไปตรึก นั่น ฌานน่ะฌาน วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา อุเบกขา นี่องค์ฌานเลย ...เพราะไปวิตกวิจารณ์กับขันธ์น่ะ

แต่คราวนี้ว่าไอ้วิตกวิจารณ์กับขันธ์นี่ ...โดยปุถุชนคนทั่วไปนี่ มันวิตกวิจารณ์ไปเรื่อยเปื่อย คิดบ้างจำบ้าง เรื่องนั้นเรื่องนี้บ้าง ...เพราะนั้น ผลมันไม่ใช่ปีติสุข...ผลมันก็คือฟุ้งซ่านกับขุ่นมัว

แต่คราวนี้ว่าพอมาเป็นนักภาวนาปุ๊บ ก็มา...พุทโธๆๆ ลมหายใจๆๆ ...นี่วิตกวิจารนะ วิตกวิจารขันธ์  แต่คือขันธ์ที่เป็นบริกรรมนิมิต คือพุทโธที่เดียว อย่างนี้

ผลมันก็คือปีติ สุข ไม่ใช่ฟุ้งซ่าน ขุ่นมัว หรือว่าแตกกระจายกระสานซ่านเซ็น  จิตก็เป็นเอกัคคตา แล้วก็เกิดอุเบกขาตามมา วางเฉย ...นี่ฌาน องค์ฌาน เห็นมั้ย จิตที่ส่งออกไปเพียรเพ่งอยู่ภายนอก

แต่คราวนี้ฌานนี่ มันมีโลกียฌาน โลกุตรฌาน ...นี่ พอโลกุตรฌานนี่ไม่เพ่งนอก เพ่งใน...นี่ ท่านก็ใช้ว่าเพียรเพ่งอยู่ภายใน ด้วยสติสมาธิ คือรู้อยู่ที่รู้ เห็นอยู่กับเห็น อะไรเกิดขึ้นอยู่ที่เห็นอยู่ที่รู้

นี่เพียรเพ่งเหมือนกันนะ แต่ว่าด้วยสัมมาสติสัมมาสมาธิ อย่างเงี้ย ปัญญาเกิด ...คราวนี้ไม่องค์ฌานเกิดแล้ว ไม่มีองค์ฌานที่ว่าปีติ สุข ...มันจะเป็นลักษณะที่ว่าเกิดเป็นปัสสัทธิ แล้วเป็นธัมมวิจยะ

เห็นมั้ย พอเข้ามาตรงนี้ปึ้บ มันกลายเป็นองค์ธรรมของโพธิปักขิยธรรม อยู่อย่างนั้นน่ะ  นี่ถ้าพูดตามตำรานะ ...แต่ถ้าพูดตามภาษาลูกทุ่งน่ะ รู้อย่างเดียว รู้กับเห็นอย่างนั้น พอแล้ว ครบ ตามภาษาบัญญัติสมมุติน่ะ

เพราะนั้นพอรู้ว่าครบตามภาษาบัญญัติสมมุติแล้ว ...ปิดตำราเลย ปิดหมด ไม่อ่านแล้ว ไม่หาแล้ว ไม่ดูแล้ว ไม่สนใจ ไม่เทียบเคียงตำราแล้ว ...มีรู้อย่างเดียวเห็นอย่างเดียว อยู่อย่างนั้นน่ะ

โยคาวจรใดที่เพียรเพ่งอยู่ที่ใจ โยคาวจรนั้นจะหลุดพ้นจากบ่วงมาร ท่านพูดไว้แค่นี้ ...นั่น ไม่เห็นมากกว่านี้เลย ไม่เห็นยากกว่านี้เลย ไม่เห็นต้องไปทำอะไรมากกว่านี้เลย

มีแต่หัวไอ้เรืองนี่แหละ “ไม่พออ่ะ ไม่ถึงหรอก ต้องสมาธิก่อน มีกำลังแนบแน่น แล้วก็ต้องเห็นกระดูกก่อน ต้องเห็นศพเน่าเฟะหนอนขึ้น” อย่างนี้

ถ้างั้นหมอทำไมมันไม่ไปนิพพานกันมั่งล่ะ มันเห็นศพจนเบื่อน่ะ ไม่เห็นมันไปได้ ...ไม่เกี่ยวอ่ะ มันเป็นอุบาย  ถ้าเข้าใจว่าทั้งหมดมันเป็นอุบาย อุบายอะไร..ปีติสุขเอกัคคตา แค่นั้นเอง แล้วก็หายไป

เพราะนั้นเพียรเพ่งอยู่ภายใน ด้วยสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ...คือไม่ได้เพ่งเพื่ออะไร ไม่หวังผลอะไร ไม่เอาอะไรน่ะ  เอาใจดวงเดียวเท่านั้นน่ะเป็นที่ตั้งที่หมาย...หมายลงที่ใจรู้ใจเห็นนั่นแหละ หรือดวงจิตผู้รู้

ภาวนาทั้งหมดนี่เพื่อให้เห็นใจ เพื่อให้เข้าถึงใจ ...เมื่อเห็นใจเข้าถึงใจแล้ว ท่านบอกว่าให้อยู่ที่ใจ ...แล้วก็อาศัยใจดวงนั้นแหละเป็นผู้เดินไปในองค์มรรค

เพราะนั้นดวงใจดวงจิตผู้รู้ คือใจนี่...ที่มันเป็นแสงสว่างออกมาในขณะหนึ่งๆ ที่เรียกว่าเป็นผู้รู้ผู้เห็นนี่ ก็คือดวงจิตผู้รู้อยู่ ...จริงๆ มันก็เป็นผู้รู้ที่เป็นอัตตาอยู่แล้ว มันมีอัตตาครอบงำอยู่

เพราะมันยังเป็นแสงสว่างที่ยังมีอะไรครอบงำอยู่ มันเป็นแค่แสงสว่างนิดนึง แต่ว่ามันมีอะไรครอบงำอีกเยอะแยะ นั่นแหละคือความหมายมันก็เกิดความรู้สึกเป็นผู้รู้  ผู้เห็น

คืออัตตามันยังปิดบังใจอยู่ ความหมายมั่นเป็นตัวตนของเรายังมีอยู่ หมายมั่นใจเป็นเราของเรายังมีอยู่ ...เป็นผู้ เป็นสัตว์เป็นบุคคล

แต่ต้องอาศัยใจผู้รู้นี่แหละ เป็นบันได ...สมมุติว่ามันมีอยู่ ๔ ชั้น แล้วมันมีบันไดขึ้นไป ๔ ชั้น  ถ้าไม่เดินขึ้นบันไดนี่ มันไม่มีทางขึ้นถึงชั้นที่ ๔

เพราะนั้นดวงจิตผู้รู้ผู้เห็นนี่ แม้ว่าจะยังมีอัตตาในผู้รู้ผู้เห็น หรือว่ามีความรู้สึกเป็นใจเรารู้ใจเราเห็นอยู่ ...แต่มันเป็นบันได 

ถ้าไม่อาศัยใจรู้ ไม่อาศัยดวงจิตผู้รู้นี่...เป็นผู้เข้าไปเห็นทุกสิ่งเป็นไตรลักษณ์แล้ว ...มันก็ขึ้นบันไดไม่ได้

แต่เมื่อใดที่ว่าขึ้นบันไดไปแล้ว จนถึงที่สุดของชั้นที่ ๔ แล้ว คือชั้นดาดฟ้าแล้ว มันเห็นท้องฟ้ากว้างแล้ว แล้วมันเห็นเลยว่า มันไม่มีที่ให้ไปแล้ว มันไม่มีบันไดแล้ว 

มันหมดบันไดแล้ว มันหมดทางไปแล้ว นั่นแหละ มันก็หมดความเป็นผู้รู้ผู้เห็นน่ะแหละ

เพราะนั้้นนี่ขึ้นมาชั้น ๑ แล้วยังเจอเพดานอีกนะ ยังตันอยู่นะ ยังเป็นกบอยู่นะ ...ชั้น ๒ ก็ยังเป็นฝ้าที่มันสูงขึ้นมาหน่อย ก็ยังเป็นเพดานกั้นอยู่ 

นี่ มีขอบเขตอยู่ มันยังมีปริมณฑลอยู่ ยังมีกายนี้เป็นปริมณฑลอยู่ ยังมีจิตเป็นปริมณฑลไกลใกล้อยู่ มันยังมีขอบขันธสีมาอยู่

พอถึงที่สุด มันขึ้นไปที่โล่งกว้างแล้ว หรือสุดยอดแล้ว ...มันจะเห็นเลยว่า โลกกว้างคืออะไร ใจมันก็เปิดขึ้นเป็นอิสระเต็มที่ ...ไม่ต้องไปร้องหาบันไดแล้ว มันหมดทางไปแล้ว มันถึงที่สุดของใจแล้ว

นีี่ สำคัญที่รู้ สำคัญที่เห็น ...ไม่สำคัญในสิ่งที่รู้ ไม่สำคัญในสิ่งที่เห็น ...อะไรก็ได้ จะดีจะร้าย จะถูกจะผิด จะเลวทราม หยาบ ละเอียด หรือประณีตยังไง ก็แค่นั้นแหละ รู้เห็นไว้

แล้วอยู่ที่รู้ที่เห็นนั่นแหละ อย่าไปดิ้นรน พอดิ้นรนก็รู้อีก พอกระวนกระวายก็รู้อีก พออยากได้นั่นอยากเห็นนี่ อยากเป็นนั่น อยากได้อะไร ก็รู้เห็นอีก

เอารู้เอาเห็นน่ะเป็นยาแก้...แก้บ้าแก้เมา แก้วิปลาสคลาดเคลื่อน แก้อยาก แก้ไม่อยาก แก้ได้หมด ยาใจน่ะ ไม่ใช่ยาใจคนจน ยาใจทุกคนน่ะ ใจเป็นยาทุกคนเลย ไม่เลือก

เพราะใจมันมีอยู่ในทุกสัตว์บุคคล ...แม้แต่สัตว์เดรัจฉานก็มี แต่ว่าชั้นของวิบากที่ครอบงำใจของเดรัจฉานไม่สามารถที่จะเจริญสติสมาธิปัญญาเพื่อเกิดแสงสว่างในใจได้

เอาจนใจรู้ ใจแจ้ง  ใจรู้กลายเป็นใจแจ้ง ใจสว่าง ใจกระจ่าง ใจบริสุทธิ์ ใจหลุดพ้น จนถึงใจไม่มีประมาณ ...เนี่ย มันเปิดออกไปเรื่อยๆ น่ะ

เมื่อใดที่เราขัดเกลาจนแสงสว่างมันกระจ่างขึ้น ...แค่เนี้ย แค่เห็นกายชัดเจน กายภายในชัดเจน นามขันธ์ชัดเจน ว่ามันเป็นใครของใคร หรือไม่เป็นใครของใคร

แค่นี้ก็เป็นความสุขที่ไม่มีอะไรเทียบแล้ว เป็นความสุขที่ยิ่งกว่ากินอิ่มนอนหลับที่เรียกว่าเป็นสุขเวทนาอีก แต่ว่าเป็นสุขอยู่ในธรรม สุขที่เห็นธรรมตามความเป็นจริง

สุขที่ได้ละ สุขที่ได้วาง สุขที่เข้าใจ ท่านเรียกว่าเป็นปัสสัทธิ เป็นความสงบเย็นระงับ เป็นสุขที่ละเอียดประณีต ไม่ใช่สุขเวทนาอย่างที่พวกเราเคยเสพเคยลิ้มรส

ใจมันก็จะมีความเยือกเย็น แนบแน่น อยู่อย่างนั้นน่ะ ...แค่เข้าไปรู้อยู่เห็นอยู่กับใจที่แท้จริงน่ะ มันก็มีความเย็นที่มหัศจรรย์ยิ่ง มันมหัศจรรย์ยิ่งกว่าใดๆ ทั้งหลายทั้งปวงในสามโลกธาตุ เนี่ย ธรรมชาติของใจ

พอเปิดเข้าไปถึงใจมากขึ้น ชัดเจนขึ้น หรือว่าเข้าไปที่ฐาน หรือว่าเข้าไปที่ธาตุแท้ของใจ หรือว่าธาตุรู้ของใจที่ตรงชัดเจนมากขึ้น ...มันมีความละเอียดลึกซึ้งในตัวนั้น ที่เทียบอะไรไม่ได้

เป็นธรรมอันเลิศ เป็นธรรมอันประเสริฐ เป็นธรรมอันยิ่ง เป็นธรรมอันไม่มีประมาณ เห็นมั้ย ใจก็เป็นธรรมอันนึงนะ เป็นธรรมธาตุ จนที่สุดมันกลายเป็นธรรมธาตุ

เป็นธรรมที่เหนือธรรมทั้งหลายทั้งปวง ...ยิ่งกว่าสมาธิอีก ยิ่งกว่าปีติอีก มันยิ่งกว่าอุเบกขาใดๆ ทั้งปวง คือพลังธรรมชาติของธาตุใจ ธาตุรู้นี่ 

เพราะนั้น แค่รู้ขณะหนึ่งๆ ...แรกๆ เรายังไม่รู้สึกรู้สมอะไรหรอก  เหมือนน้ำรดหัวตอน่ะ ...แต่ว่าอย่าละความเพียร เปิดใจขึ้นไปเรื่อยๆ ด้วยสติ..สมาธิ แล้วก็จะเข้าไปเย็นระงับอยู่ข้างในนั้น

ล้างใจ ชำระใจ อย่าเอาอะไรมาหมักหมมใจ ...ไม่มีเรื่องก็หาเรื่องมาคิด ไม่เห็นอะไรก็อยากเห็นนั่นเห็นนี่ ไม่มีสภาวธรรมใดๆ เป็นภาษาสมมุติบัญญัติ ก็อยากหาอยากมี หาเรื่องทั้งนั้นน่ะ รู้เฉยๆ เห็นเฉยๆ ไม่เอา

ทำหน้าที่เป็นภารโรงไว้ ปัดกวาดเช็ดถูไว้ ขัดใจให้เกลี้ยงเกลาไว้ อย่าให้ฝุ่นละอองมาหมักหมม พอชำระถึงที่สุดของใจแล้วก็จะเห็นว่า ไม่มีคนชำระแล้ว ไม่ต้องชำระอะไรแล้ว

เพราะใจไม่มีที่  ใจไม่มีสัณฐาน ใจไม่มีประมาณ ใจไม่มีที่ตั้ง ...ศีลสมาธิปัญญาหมดหน้าที่ ภารโรงก็ไม่มีงานทำแล้ว

เพราะนั้นศีลสมาธิปัญญาเหมือนภารโรง เมื่อมันปัดกวาดจนมันหมด เกลี้ยงเกลาหมด จนไม่มีว่าฝุ่นผงละอองใดจะมาจับต้องได้นี่ ...ภารโรงหมดหน้าที่แล้ว เออลี่รีไทร์ไปเลย

ศีลสมาธิปัญญาก็หมดหน้าที่ สติสมาธิปัญญาก็หมด ไม่รู้จะทำทำไม ไม่รู้จะไปรู้อะไร ไม่รู้จะไปดูอะไร 

ใจมันก็โท่โร่อยู่อย่างนั้นน่ะ คืนสู่ธรรมชาติที่แท้จริงของใจ ไม่มีอะไรมาปกปิดปิดบังใจได้อีก แม้แต่ปรมาณูหนึ่ง สะเก็ดหนึ่งของจิตก็ไม่มี สว่างอยู่อย่างนั้นน่ะ ...โลกวิทู แจ้ง

ทุกอย่างก็กลายเป็นหมดสิ้น กลายเป็นธรรมธาตุหมด เป็นแค่ธรรมที่เป็นธาตุ ที่ไม่ใช่สัตว์และบุคคล ...จิตก็กลายเป็นธาตุ ธาตุรู้ ขันธ์ทั้งหลายทั้งปวงก็กลายเป็นธาตุดินน้ำไฟลม

นามทั้งหลายก็เป็นธาตุที่เรียกว่าสภาวธรรมธาตุ ไม่มีอะไรเป็นสัตว์บุคคลใดบุคคลหนึ่ง ของคนใดของคนหนึ่ง หมดสิ้นซึ่งความเป็นเจ้าของในทุกสรรพสิ่ง


(ต่อแทร็ก 5/29)




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น