วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

แทร็ก 5/22


พระอาจารย์
5/22 (540923C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
23 กันยายน 2554


พระอาจารย์ –  ความขยันหมั่นเพียร ความพากเพียร การเจริญสติสมาธิปัญญา...ใครก็ยกให้ไม่ได้ ทำเองทั้งนั้นน่ะ

เวลาทำงานเราก็ได้เงินเดือน ใครจะมาทำแทนเราแล้วก็ให้เงินเราล่ะ ไปขอเขาก็เป็นของเขาไม่ใช่ของเรา ...นี่แหละเรียกว่าการปฏิบัติธรรม

เพราะนั้นการปฏิบัติธรรมก็คือการรู้เห็นความเป็นจริงทุกขณะ ยืนเดินนั่งนอน ขยับ หยิบ จับ เคลื่อนไหว คู้ เหยียด กระทบ กระแทก กระเทือน เย็นร้อนอ่อนแข็ง

คิด ปรุง สบาย สุข ทุกข์ กังวล พอใจ ดีใจ เสียใจ หงุดหงิด รำคาญ โกรธ ...ดูมันเข้าไป ให้เห็นทุกอาการที่มันปรากฏผุดโผล่ขึ้นในขณะนั้น...ด้วยสติ ...นี่แหละเรียกว่าวิถีแห่งพุทธ

ไม่ใช่ว่าไปทำเมื่อสิบวันที่แล้ว แล้วค่อยมารู้ทีหลังนี่...ไม่ได้ นั่นไม่ใช่วิถีพุทธ ...ทำตรงไหนต้องรู้ตรงนั้นเห็นตรงนั้น...เป็นปัจจุบันไป ...ภาวนามันก็มีอยู่ต่อหน้าเรานี่แหละ ธรรมก็มีอยู่ต่อหน้าเรานี่แล้ว 

ไม่ใช่ว่าไปอยู่ที่คนอื่น หรือว่าที่ไหน เวลาไหน ...ไม่อย่างนั้นพระพุทธเจ้าท่านไม่ยืนยันว่าธรรมน่ะเป็นอกาลิโกหรอก คือไม่มีเวลา ...ตรงไหนก็ตรงนั้นน่ะ มันปรากฏอะไร รู้อะไรก็ตรงนั้น

รู้ว่านั่ง ธรรมก็คือนั่ง  รู้ว่าเย็น ธรรมก็คือเย็น  เห็นความคิดเกิดขึ้น ความคิดก็เป็นธรรมที่ปรากฏ  มันอะไรก็เป็นธรรมทั้งนั้นน่ะ ...จะไปหา จะไปเห็นธรรมอะไรที่ห่างที่ไกลออกไป

พอมันเริ่มควาน พอมันเริ่มหา ก็ให้เห็นอาการควานอาการหาเป็นธรรมที่ปรากฏนั่นน่ะ ...แล้วดูสิ ธรรมที่ปรากฏมันเป็นอะไร มันเป็นของใคร มันมีชื่อไหม มันมีหน้ามีตา มีตัวมีตนไหม

มันจับมันต้องได้ไหม  มันถือ มันครอง มันเอามาเป็นสมบัติส่วนตัวส่วนตนได้ไหม ...หรือมันเป็นธรรมที่เกิดขึ้นมาเปล่าๆ แล้วก็ดับไปเปล่าๆ ...นี่ ปฏิบัติธรรม

ไม่ใช่ว่าไปนั่งค้น นั่งหา นั่งสร้าง นั่งอิมเมจิน ขอร้องอ้อนวอน ...ประกอบขึ้นมา กระทำขึ้นมา ขาสองแขนสองหัวหนึ่งนี่ อ้อนวอนร้องขอที่ไหนล่ะ ...มันก็มีขึ้นมา

ไม่อยากได้ก็ได้ มันก็ปรากฏผุดโผล่ขึ้นมา ...อยากให้มันไปก็ไม่ไป  มันตั้งอยู่จะทำไม จะทำอะไรกับมัน ...ก็ต้องรู้เห็นอยู่กับมัน ทำอะไรกับมันได้

ไปไหนมาไหนก็แบกสังขาร ลากสังขารไป  แบกธรรมหามธรรม แบกตู้พระไตรปิฎก ขึ้นรถลงเรือไปเหนือมาใต้ ทั้งวี่ทั้งวัน ตู้พระธรรมทั้งนั้น ...อ่านเข้าไปสิ ดูมันเข้าไป

อย่าไปดูธรรมข้างนอกตามตำรา ตามภาษาที่เขียนขึ้นมา ปรุงแต่งขึ้นมา ...แบกตู้พระธรรมขึ้นรถลงเรือไปเหนือล่องใต้ แล้วก็ตายกับตู้พระธรรมโดยที่ว่าไม่เคยเปิดอ่านเลย แต่รู้ธรรมได้ยินธรรมเยอะแยะไปหมด

แต่ทำไมยังมาเกิดอีกล่ะ ทำไมไม่แจ้งในธรรมซะทีล่ะ ...เพราะมันไม่อ่าน ใจไม่อ่าน ไม่เคยเปิดตู้พระธรรมอ่าน มีสามกองไตรปิฎก ไตร-สาม ปิฎกแปลว่าหมวดหมู่

กายนี่...ดูมันเข้าไปสามกอง มโนสังขาร วจีสังขาร กายสังขาร  มีอยู่แค่นี้สามกองไตรปิฎก ...ดูลงไป อ่านให้เข้าใจ อ่านจนเข้าใจ ...ให้ใจมันอ่านด้วยการเห็น จนเข้าใจ มันก็ลึกซึ้งลงไป

กินนอนอยู่กับตู้พระธรรม ...แต่ไม่เข้าใจธรรม ไม่เห็นธรรมตามความเป็นจริง เสียชื่อว่าเกิดเป็นคนพุทธหมด  อิสลามก็ช่าง ฮินดูก็ช่าง คริสต์ก็ช่าง...แต่เป็นพุทธแล้วนี่ ใส่บาตรทำบุญทุกวี่ทุกวัน 

อย่าให้มันเหมือนกับทัพพีกับหม้อแกง เดี๋ยวตายไปยมบาลเขาจะตำหนิเอา เดี๋ยวตายไปพระอินทร์พระพรหมเขาจะตำหนิเอา โอ้ย เกิดมาช่างน่าเสียดายแท้

ให้มันตายสมค่าสมราคา...ที่เกิดมามีแขนมีขา มีหน้ามีหลัง มีอาการครบสามสิบสอง สติสัมปชัญญะก็เจริญได้มีได้ ...ให้มันพากเพียรเยอะๆ ตั้งใจมากๆ 

ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีประโยชน์ในการรู้ตัว หรือว่ารู้ตัวแค่นี้มันไม่ได้อะไร  อย่าไปโลภมากด้วยความอยาก ...รู้ตัวให้มันได้เถอะ ทุกขณะไป เห็นความเกิดดับทุกขณะไป นิดๆ หน่อยๆ ก็ให้เห็นไป 

แม้แต่ฟังเสียงนี่ เห็นมั้ย เสียงมันเกิดดับเป็นระยะๆ เป็นคำเป็นประโยคไป เห็นความดับไปในขณะนั้นบ่อยๆ ขณะที่มันได้ยินได้เห็น ...ให้ใจมันรู้เห็นอาการไตรลักษณ์เกิดดับบ่อยๆ 

นั่นแหละมันจะฉลาดขึ้นมาเอง มันจะสบาย มันจะเบา มันจะปล่อย ...พอมันปล่อย พอมันวาง พอมันเบา ก็ไม่ต้องไปสงสัยว่าเป็นเพราะอะไร ไม่ต้องไปงงกับมัน 

พอเริ่มงงเริ่มสงสัย ก็ให้เห็นว่ามีความสงสัย มันสงสัยอีกแล้ว...วจีสังขาร มโนสังขารเกิดอีกแล้ว ...อ่านมันไป เป็นธรรมบทหนึ่งที่ปรากฏผุดโผล่ขึ้นมา ...ให้ใจมันอ่าน 

ให้ใจมันอ่านมันเห็น...ว่าธรรมไหนธรรมหนึ่งที่ปรากฏขึ้นมา...ล้วนดับไปเป็นธรรมดา ...ไม่มีใครแน่กว่าไตรลักษณ์ ...มึงแน่แค่ไหนมึงก็ดับ ธรรมเขาแสดงให้เห็น

ใจ...ให้มันอ่าน เท่าทันความดับไปในขณะปัจจุบันนั้นๆ เสมอ ...มันว่ามันแน่ มันหลบเลี่ยง มันรอดไปได้ ...เอาดิ สติเอาให้มันไม่รอด ไม่เล็ดลอดไปจากความเท่าทันความดับไปในปัจจุบัน ...ใครจะแน่กว่ากัน 

นั่นน่ะฝึก ...ช้างม้าวัวควายหมูหมากาไก่ เขายังฝึกให้มันเล่นละครสัตว์ได้เลย  ...คนเก่งจะตาย ฝึกจิตแค่นี้ฝึกไม่ได้...จะมาเกิดได้ยังไง เกิดมาแล้วมันมีศักยภาพพอทั้งนั้นแหละ

ไอ้ที่การฝึกมันไม่มีศักยภาพ เพราะมันขี้เกียจ เพราะมันมีข้ออ้างเท่านั้นแหละ ...ถ้าตั้งใจจริงๆ ลงไป ...มันก็ได้ ทำได้...ได้ผลด้วย

อย่ามาคอยนั่งคิด นั่งเถียง นั่งกังวลเรื่องคนนั้นคนนี้ หาเหตุหาผลจับต้นชนปลาย หาแก้หากัน ...มันหาทั้งหมดน่ะเพื่อไม่ให้มารู้ปัจจุบัน บอกให้เลย ...อย่าไปฟังมัน 

มันถนอมตัว มันหวงตัว มันกลัวถูกฆ่าตาย...กิเลสน่ะ ความไม่รู้น่ะ ...มันกลัวศีล มันกลัวสมาธิ มันกลัวปัญญา ...พอกิเลสตัณหาอุปาทานมันรู้ว่าจะเจริญสติสมาธิปัญญานี่ มันกลั๊ว กลัวๆๆ 

เพราะศีลสมาธิปัญญาเวลาเกิดเมื่อไหร่นี่...กูตายหมด มันดับหมดแหละ เกิดไม่ได้เลย ...มันกลัว มันก็เลยหาทางล่อทางเลี่ยง ทางเบี่ยงทางเบน 'ใจเอ๋ยอย่าอยู่เลยปัจจุบัน มีอะไรที่ดีๆ กว่าในอดีตอนาคตนะ' 

นั่น ไม่เชื่อแบบนี้มันก็ไปปรุงแบบนั้น ไม่เชื่อแบบนั้นมันก็ปรุงแบบโน้น ไม่เชื่อแบบโน้นมันก็มาปรุงแบบนี้อีกเอาสิ ....มันกลัว มันกลัวศีลสมาธิปัญญา 

มันกลัวธรรมาวุธ มันกลัวอาวุธของพุทธะ ...ถ้าโยคาวจรใด มีศีลสมาธิปัญญาเต็มขีดเต็มขั้นนี่ สามารถฆ่าได้...แบบกุดหัวชั่วโคตรมันเลย ...นี่ มันกลัว

แต่นักปฏิบัติก็ยังกลัวๆ กล้าๆ บัวไม่ให้ช้ำ...น้ำไม่ให้ขุ่น นี่ ...จะละความคิดก็เสียดายความคิด จะละอดีตก็กังวลในอนาคต จะละอนาคตก็กลัวจะไม่มีความสุข

จะละความปรุงแต่งในอนาคตก็กลัวจะไม่ได้เงินทองการงาน จะละความคิดก็กลัวไม่ได้มรรคผลนิพพาน ...บัวเลยไม่ช้ำน้ำเลยไม่ขุ่น ไปๆ มาๆ วนอยู่อย่างนั้นน่ะ วนเหมือนมดไต่ขอบด้ง เหมือนพายเรือในอ่าง

ถ้ารักพี่ล่ะอย่าเสียดายน้อง ถ้ารักที่จะรู้กับปัจจุบันก็อย่าเสียดายอดีตอนาคต ...เอาจนมันหมดเนื้อหมดตัว ...ไอ้ที่มันรักน่ะเพราะมันคิดว่ายังมีของให้เอา ยังครอบครองอะไรได้อยู่

เอาจนมันหมดเนื้อหมดตัว สิ้นเนื้อประดาตัว แม้แต่ปัจจุบันก็ไม่ครอบครอง ไม่รู้จะถืออะไร หนักทั้งนั้น ...อย่าว่าถึงอดีตอนาคตเลย ปัจจุบันกูก็ไม่เอา ใจที่มันมีปัญญาแล้วมันไม่เอา

ทุกข์ทั้งนั้น ทุกข์เต็มๆ โลกเลย ...จะไปประทับตราจองว่าของกูๆ เหรอ หนักทั้งนั้น ...มานั่งไล่เก็บขยะทำไม จะขายของเก่ากินรึไง ...มันขยะ ไม่มีค่าไม่มีราคา ถึงเรียกว่าขยะ

เพราะมันไม่มีค่า เป็นของทิ้ง เขาทิ้งอยู่ในโลกนี้ ...เกิดมาใหม่นี่ เอาดินน้ำไฟลมที่เขาทิ้งมานี่ มายืมชดใช้กันต่อ มาเอาอารมณ์ที่เคยมีคนสร้างอารมณ์พวกนี้ไว้นี่ มาใช้อารมณ์นั้นต่อ ...นี่ของทิ้งแล้วทั้งนั้นน่ะ 

มันก็ตกคลั่กเกิดๆ ดับๆ สลับสับเปลี่ยน หมุนเวียนหมุนวนอยู่ในโลกใบนี้ ขยะทั้งนั้นอย่าว่าแต่อดีตอนาคตที่จับต้องไม่ได้ ที่เป็นขยะซ้ำซากเลย ...แม้แต่ปัจจุบันที่ปรากฏผุดโผล่อยู่เดี๋ยวนี้ก็ขยะ 

ใจที่มันมีปัญญามันจะเห็นแล้วนี่ มันไม่เอาน่ะ ไม่ไปตีตราจองครอบครองว่าของเราของเขาอะไร ...มันทุกข์ทั้งนั้น ขยะทั้งนั้น ของไม่มีคุณค่าทั้งนั้น ไม่มีอะไรเป็นสาระแก่นสาร 

ไอ้นั่นก็อยากได้ ไอ้นี่ก็อยากมี ไอ้นู่นก็ต้องได้ ไอ้โน่นก็ต้องมี  ไอ้ที่มีแล้วก็ต้องให้มีอีก ไอ้ที่มันมีอยู่แล้วก็ให้มันอยู่นานๆ ...นี่ไม่บ้าก็เมา มัวเมา โง่งม เซอะซะ กระเซอะกระเซิง 

มันถึงทุกข์...กับทุกข์...กับทุกข์ ...ไม่ทุกข์มากก็ทุกข์น้อย ไม่ทุกข์น้อยก็ทุกข์แป๊บนึง ไม่ทุกข์แป๊บนึงก็ทุกข์หลายแป๊บ ไม่ทุกข์ใหม่ก็ทุกข์เก่า อยู่อย่างนั้นน่ะ วนเวียนไป

ให้ใจมันอ่านพระไตรปิฎกภายในนี่เยอะๆ มันจะได้ลึกซึ้งในธรรม ยอมรับธรรมตามความเป็นจริง...ว่ามันเป็นแค่ธรรมสิ่งหนึ่งที่ปรากฏชั่วคราวแล้วดับไป ไม่มีอะไร

เหมือนเอานิ้วกรีดน้ำ มันเป็นรอยแค่กรีด มีอะไรในรอยนั้นปรากฏหลงเหลืออยู่ ...นี่ความดับไปเป็นธรรมดา มันปรากฏเหมือนรอยที่เอานิ้วกรีดน้ำ ...ทำไมถึงบ้าบอคอแตกกับรอยนี้

ให้ใจมันเห็นความดับในปัจจุบันเช่นนั้นเสมอ ทุกธรรมที่ปรากฏ จึงเรียกว่าแจ้ง...รู้แจ้ง ใจมันรู้แจ้งเห็นจริง ไม่มีอะไรแตกต่างนอกจากปรากฏแล้วก็ดับตรงนั้น

นี่แหละ ทั้งหมดนี่แหละการปฏิบัติ ...ไม่มากไม่น้อย  แต่ถ้าทำได้อย่างนี้จะไม่เกิด หรือเกิดน้อยลง ...แค่นั้นแหละธรรม ผลของธรรม 

ผลการเห็นธรรม ผลของการที่ใจเห็นธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง ไม่ต้องพูดภาษาอะไรมาก ...มันเป็นอย่างนั้น

พอแล้ว ...(ถามโยม) ...สงสัยมั้ย จะถามมั้ย ไม่เคยมาฟังนี่


โยม –  มันที่อยากฟังพอดีน่ะค่ะหลวงพ่อ บางทีหนูก็รู้สึกเวลาอย่างที่หลวงพ่อพูดว่าวนเวียนๆ อยู่นี่ บางทีพอจะออกได้ก็ยังห่วงกลับไปวนเวียนอีก แล้วมันก็เลยจะหาวิธีอย่างนี้ มันเป็นอย่างนี้

พระอาจารย์ –  อือ ให้ทันอาการทุกอาการ แม้แต่จะเข้าไปดับ จะเข้าไปจงใจเจตนาอะไรกับมัน


โยม –  บางทีรู้ช้าน่ะค่ะหลวงพ่อ มันขาดสติรึเปล่าคะ บางทีแบบผ่านไปตั้งนานอย่างนี้ค่ะ

พระอาจารย์ –  ช่างมัน ได้เท่าไหนก็เท่านั้น รู้ตรงไหนก็รู้ตรงนั้น ...ไม่ต้องมาเสียอกเสียใจ ดีอกดีใจกับธรรมที่มันดับไปแล้ว เอาคืนมาไม่ได้

มันรู้เมื่อไหร่ก็ทำความต่อเนื่องไป หลงอีกรู้อีก ...แก้ไขอะไรไม่ได้หรอก...กับที่มันหลงไปแล้ว หายไปแล้วน่ะ มันเอาคืนไม่ได้ ...ไม่ต้องไปดีอกดีใจ เสียอกเสียใจ ตีอกชกหัว ติเตียนตำหนิ 

เนี่ย ปรุงใหม่อีกแล้วนี่ ก็ให้เห็นว่ามันไปเอาอดีตมาเป็นอารมณ์ ...เห็นรึเปล่า มันเป็นอดีต มันเอาคืนไม่ได้ ก็ยังมาดีใจเสียใจ กังวล หาวิธีแก้วิธีกัน ...นี่มันปรุงใหม่ซ้ำขึ้นมาอีกแล้ว

ก็ให้เห็นมันไป ...ช่างหัวมัน ก็รู้ไปสิ ก็เห็นต่อเนื่องไปสิ ....ตรงปัจจุบันก็มีอยู่ทุกขณะน่ะ  กลับมารู้ตัวบ่อยๆ อยู่กับความรู้ตัว...รู้เห็นอยู่ตรงนั้นแหละ 

ช่างหัวหลงมันสิ หลงไปแล้วนี่เอาคืนไม่ได้ เจ๊ากันไปแล้ว ดับไปแล้ว ช่างหัวมัน ...รู้ต่อไป นับหนึ่งใหม่ไป ...อย่าไปท้อ ไม่งั้นเป็นอย่างนี้แล้วมันจะท้อ 

“หลงอีกแล้ว เบื่อแล้ว เดี๋ยวก็หลงอีกแล้ว พอรู้อีกทีก็ไม่ได้เลย หลงอีกล่ะ” ...นี่ท้อแล้ว ...ช่างหัวมันสิ หลงก็หลงไป อย่าไปขี้เกียจรู้ ...ปัจจุบันก็มีให้เห็นอยู่ทุกขณะ ทำความต่อเนื่องไป

อย่าไปอ่อนข้อให้มัน ...พอมันรู้ว่ามันหลงไปนาน  มันก็จะปรุงมาเป็นอดีตสัญญา ความไม่น่าจะเป็น คือวิภวตัณหา ขณะนั้นน่ะเกิดวิภวตัณหา

ผล...อารมณ์ตามมา กิเลสตามมาปรากฏขึ้นก็คือปฏิฆะ หงุดหงิด รำคาญใจ ขัดใจ ...ไม่เห็นรึไง ว่ามันเกิดอาการนี้ในปัจจุบันอีกแล้ว ...นี่ ก็ละอาการนั้น

แล้วก็ห้ามไม่ได้หรอก ห้ามความหลงไม่ได้  เราห้ามความไม่รู้ที่มันจะปรุงมาเป็นความขัดอกขัดใจไม่ได้หรอก ...มันปรากฏก็รู้ไป แค่นั้นเอง นะ แล้วก็อยู่ตรงนั้นแหละ ดูไป

ถ้ามันเผลอเพลินไปมาก ไปนาน ให้มารู้กายมากๆ ...ไม่ต้องไปสนใจมัน กลับมารู้ยืนเดินนั่งนอน ขยับ เคลื่อนไหว หยิบจับ  ดูอาการความรู้สึกในกายเล็กๆ น้อยๆ นี่แหละ

เดี๋ยวเย็น เดี๋ยวปวด เดี๋ยวเมื่อย  เดี๋ยวไหว เดี๋ยวนิ่ง ดูไปเห็นไป ...เผลอไปช่างหัวมัน เมื่อรู้ใหม่ก็นับหนึ่งใหม่  อย่าไปปรุงต่อ อย่าจับสัญญามาเป็นเรื่อง

บ้านที่พังแล้วนี่จะมานั่งเสียอกเสียใจ ...เหมือนบ้านน้ำท่วม แล้วก็มานั่งร้องไห้อยู่กับบ้านที่มันพังไปแล้วน่ะ หือ มันทำอะไรได้ เอาคืนเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว ...ก็อยู่ไปในปัจจุบันไป อยู่เป็นปัจจุบันๆ ไป 

นั่นแหละ ก็ทำไป พากเพียรไป ...จนมันรู้ชัดเห็นชัด ไม่ไปไม่มาในอดีตอนาคต ...เหนือความปรุงแต่ง มันจะมีชีวิตที่เหนือความปรุงแต่ง ไม่ได้อยู่ใต้ความปรุงแต่ง แต่เหนือความปรุงแต่งของขันธ์

เอาแล้ว พอ ไม่ต้องถามแล้ว มาฟังกันเยอะแล้ว รู้กันหมดแล้ว ...ทำอย่างเดียวที่มันน้อย แค่นั้นแหละ สติน่ะมันน้อย  อย่างอื่นน่ะมันเข้าใจทั้งนั้นแหละ ไอ้ที่มันน้อยคือทำน้อย ...ธ-ร-ร-ม ก็น้อย ท-อำ ทำก็น้อย 

นั่นแหละ สติ...ให้มันมาก แล้วทุกอย่างก็จะมากขึ้นเอง ...สัมปชัญญะความรู้ตัวในปัจจุบันมากขึ้นเท่าไหร่ ทุกอย่างจะมากตาม ธรรมก็มากตาม เห็นธรรมชัดเจนขึ้น

คำว่าเห็นธรรมชัดเจนขึ้น คือเห็นความเป็นไตรลักษณ์ของธรรม นั่นน่ะคำว่าเห็นธรรมชัดเจน ...ไม่ใช่ เห็นแล้ว อู้หู...ของเรา เราได้แล้ว ...ไอ้นี่ก็ชัด แต่ชัดหลง...ชัดมานะทิฏฐิ

ไอ้ที่ว่าเห็นธรรมชัดคือ...อ๋อ เข้าใจแล้วว่ามันไม่มีอะไร ...นี่ มันก็ชัดเจนขึ้น ...นั่นแหละที่เรียกว่าเห็นธรรมชัด ใจมันชัดเจนว่าไม่มีอะไรเป็นของใครคนใดคนหนึ่ง

เพราะนั้น ขาดเพราะไม่มีสติ ขาดเพราะไม่รู้เห็นปัจจุบัน นั่นแหละที่มันขาด ...ความรู้ความเข้าใจนี่ ฟังจนหูห้อยแล้ว สะสมไปได้สามสิบชาติเลยมั้งไอ้ที่พูดมาทั้งหมดนี่ บอกให้เลย

แต่ว่าสติสัมปชัญญะนี่ มันยังไม่เพียงพอกับอาสวะภายใน หรือว่าความหลงภายในเท่านั้นเอง ...ตัวภาวนามยปัญญา...มันยังน้อย มันยังไม่พอ 

มันยังไม่พอกับกำลังที่จะทัดทาน สมดุล หรือว่าเหนือกว่าจนล้างได้ ...เหมือนน้ำดีกับน้ำเน่าน่ะ ถ้ามันน้ำเน่าอย่างนี้ น้ำดีสักขันหนึ่งลงไปนี่ยังไงมันก็เน่า มองไม่เห็นเลยว่าน้ำใสอยู่ไหนน่ะ ใช่ไหม

ลองที่ว่าน้ำโอ่งนึงเป็นน้ำเน่า แล้วใส่น้ำดีสักสามโอ่งดูซิมันจะใสขึ้นมั้ย ...เอาจนสิบโอ่งยี่สิบโอ่งสามสิบโอ่ง จนไม่มีว่ามันขุ่นตรงไหน นั่นแหละมันถึงจะลืมตาอ้าปากได้ หรือว่าได้หลัก

ไม่ใช่นั่งตรงไหน เดินตรงไหนก็หลับตาหุบปาก คือมืดตึ้บหมดไป หลงลืมไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลย เขาเรียกว่าไม่ลืมตาอ้าปาก 

เอาจนว่าน้ำใสเข้ามาเต็มตุ่ม หรือว่ามองเห็นว่า...อ๋อ ปลามีโว้ย กุ้งมี...มันเห็น ...นั่นแหละ ถึงเรียกว่าลืมตาอ้าปากได้

ไม่งั้นก็หลับตาหุบปาก นั่งขอทานอยู่ตามริมถนน งานการก็ไม่ทำ มานั่งขอทานอยู่ ...มีชีวิตแบบอดๆ อยากๆ อดอยากในธรรม โหยหาในธรรม ไม่อิ่มไม่เต็มสักที

ก็เหมือนขอทาน ไม่ทำงานน่ะ ไม่ทำศีลสมาธิปัญญาเป็นงาน ไม่ทำสติสัมปชัญญะเป็นงาน ...มันก็กลายเป็นขอทานอดๆ อยากๆ อยู่ข้างถนนน่ะ โฮมเลส ไร้บ้านขาดช่อง ขาดความอบอุ่น

พอแล้ว ...เดี๋ยวจะหาว่าด่า


โยม –  หลวงพ่อเทศน์แบบจะแจ้ง

พระอาจารย์ –  ก็ลองไม่ตื่นสิ เดี๋ยวก็โดนตบโหลก (หัวเราะกัน) ...มาฟังกันตั้งนาน จะมานั่งหลับ นอนหลับอยู่ เดี๋ยวโดนตบโหลก

สำคัญว่ามันจะรักษาตัวยังไง เวลาอยู่คนเดียวนั่น หรือไปอยู่ในสังคมนั่นแหละ...สำคัญที่สุด ...รู้จริง เห็นจริง เจ็บจริง ทุกข์จริงเลยแหละ ...ไม่มีแสตนอินนะ 


....................................




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น