วันอาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

แทร็ก 5/24 (2)


พระอาจารย์
5/24 (541111B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
11 พฤศจิกายน 2554
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 5/24  ช่วง 1

พระอาจารย์ –  แต่ถ้าแก้ที่ใจ แก้ด้วยใจ..รู้อย่างเดียว เห็นอย่างเดียว อะไรก็รู้ อะไรก็เห็น ...มึงไม่อยู่ มึงไม่ไป...กูก็รู้ มึงตั้งอยู่...ก็รู้  มากขึ้น...ก็รู้ น้อยลง...ก็รู้  ยังตั้งอยู่...ก็รู้  ...นี่ แก้ด้วยรู้

จนถึงที่สุดของทุกขสัจ คืออาการที่ปรากฏของขันธ์...ไม่ว่าขันธ์นั้นหรือขันธ์นี้  ไม่ว่าขันธ์ที่ไม่มีวิญญาณครอง...วัตถุ หรือขันธ์ที่มีวิญญาณครอง มันก็ขันธ์อันเดียวกันนั่นแหละ...กะลาใหญ่หรือกะลาเล็กล่ะ แค่นั้นน่ะ

เพราะนั้นอยู่ที่ใจ ตั้งลงไว้ที่ใจ เอาให้มั่น เอาให้แน่น เอาให้มันเป็นสัมมาสมาธิ ...เมื่อมันตั้งมั่นได้อย่างนั้นแล้วนี่ ญาณทัสสนะคืออาการเห็นตามความเป็นจริง...เห็นการเกิดขึ้น การตั้งอยู่ การดับไปเองของมัน 

นั่นแหละคือปัญญาก็จะเกิดตามมา เห็นความเกิดเอง ตั้งเอง ดับไปเอง

เรานั่งรถมานี่ เราไม่รู้หรอกว่าเราจะเจออะไร เห็นอะไร ...มันเกิดเองใช่ไหม รูปน่ะ เสียงน่ะ มันเกิดเองใช่ไหม ...เราไม่ได้เลือกนะ เราคาดไม่ได้นะ นี่มันเกิดเองนะ 

มันก็รับสัมผัสแล้วมันตั้งเองน่ะ แล้วมันก็ดับไปของมันเอง...เห็นไหมล่ะ ...มันไม่เห็นนี่ ...ถ้ามันเห็น ตั้งอยู่ที่ใจ...รู้อยู่ มันก็จะเห็นอาการที่เป็นไตรลักษณ์โดยธรรมดาของมันเอง 

ไม่ต้องไปพิจารณา ไม่ต้องไปเลียบเคียง ไม่ต้องไปค้นคิดขึ้นมาเลย ...มันก็เห็นไป วูบวาบๆๆๆ ...ถ้ามันเริ่มสติอ่อน ปัญญาอ่อน แล้วไม่รู้จะรู้อะไร มันไม่เห็นอะไร ...ก็รู้มันอยู่ที่รู้ เห็นมันอยู่ที่เห็นนั่นแหละ 

มันไม่เห็นไตรลักษณ์อะไร มันหาไตรลักษณ์อะไรไม่เจอ...บางทีมันก็มี ไม่รู้จะอะไรเป็นไตรลักษณ์ ไม่เห็นอะไรเกิด ไม่เห็นอะไรดับ ...ก็ไม่ต้องหา อย่าหา  รู้ไว้เห็นไว้ อยู่ที่ตรงนั้นแหละ ตั้งไว้

เหมือนกับสตาร์ทเครื่องไว้ อย่าดับ อย่าให้เครื่องดับ อย่างน้อยมันก็พร้อมที่จะเดินต่อ ...ไม่งั้นมันก็จะปล่อย ดับเครื่องซะ ...คือทิ้งใจ หรือทิ้งสติ ทิ้งสมาธิไป

ความประมาทก็คืบคลานเข้ามา ความมัวเมา หรือความหลง หรือว่าความมืดบอด...มันก็คืบคลานเข้ามาปิดใจจนความรู้ตัวหาย ความไม่รู้เนื้อรู้ตัวเข้ามาแทน คือความมืดบอดครอบ...ตาที่มันเคยสว่างตื่นก็หลับ

มันไม่เห็นไตรลักษณ์ ...ช่างมัน  รู้ไว้ เห็นไว้ อยู่ที่รู้ รู้อยู่ที่รู้ เห็นอยู่ที่เห็นนั่นแหละ ...ไม่ต้องกลัวเพ่งใจ ไม่ต้องกลัวว่าเป็นการกำหนดผู้รู้ ...ต้องการให้เพ่งภายใน 

ต้องเพียรเพ่งอยู่ในที่อันเดียวนี่แหละ ...ใครจะว่าติด ใครจะว่าจงใจ...ไม่รู้อ่ะ เราไม่ได้ให้จงใจที่กาย เราไม่ได้ไปเพ่งที่ความคิด หรือความรู้สึกนี่ ...เราให้เพ่งอยู่ที่ใจน่ะ

ไม่ต้องกลัวหรอก ...ทุกวันนี้ใจมันยังหาแทบไม่เจอเลย ตกๆ เรี่ยๆ ราดๆ อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ เหมือนปรอทน่ะ เหมือนเดินถือถาดที่มีปรอทอยู่เต็ม แล้วก็แพล้บเดียว...ร่อนหายไปแล้ว

เดินเร็วๆ ก็หายแล้ว มีเหตุการณ์ฉุกละหุกอะไรขึ้นมาปั๊บ ดูสิ ใจตกหล่นหายแล้ว ...แล้วไปไล่เก็บเบี้ยใต้ถุนร้านอยู่น่ะ  แล้วไปค้น ไปซาวหาอยู่ในน้ำครำอยู่นั่นแหละ ...ไม่ค่อยเจออ่ะ

นั่น เพ่งก็ต้องเพ่งล่ะวะ ผู้รู้น่ะ ....แล้วมันค่อยๆ สมดุลระหว่างศีลสมาธิปัญญา เป็นมรรคสมังคีกันขึ้นมา เกิดความพอดี รู้เห็นกลางๆ ...เหมือนกลายเป็นเชื้อไวรัส ไม่หายไปไหน อยู่อย่างนั้นเลยน่ะ

สว่างโร่อยู่ภายในนั่น ...แจ้ง มันแจ้งนะ มันแจ้งข้างในน่ะมันแจ้ง ....ไม่ใช่แจ้งแบบนีออน มันแจ้ง รู้เห็นตื่นลืมตาโพลงอยู่อย่างนั้นน่ะ...รู้อยู่

ถ้ามันอยู่ได้อย่างนั้นนานๆ ต่อไปเรื่อยๆ ...ภาวะอย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่าเป็นมหาสติ ไม่มีอะไรเล็ดลอดไปได้จากมหาสติ

อะไรที่ไม่สามารถเล็ดลอดไปได้...ก็คือขันธ์ คืออาการของขันธ์ที่ปรากฏ ไม่สามารถเล็ดลอดได้เลย ...นั่นเรียกว่ามหาสติ...ผลจากการที่มันรู้เห็นต่อเนื่องนั่นแหละ

มันจะไม่...เอ๊ะ อื๊อ เอ๊อะ อะไรวะ มันหายไปยังไงวะ มันมายังไงวะ ...นี่ มันสงสัย  'เอ๊ อะไรวะ' ...นี่สงสัย  'เอ๊ะ ทำไมมันเป็นอย่างงั้น' ...สงสัย ...นี่ เพราะมันไม่มีมหาสติ มันไม่มีมหาปัญญา  

มันหลุดๆ ร่อนๆ เรี่ยๆ ราดๆ ...'มันมาตอนไหน มันหลงไปตอนไหนวะนี่ มันมาได้ยังไง มันเกิดได้ยังไง มันเป็นเราเป็นเรื่องของเราได้ยังไง' ...นี่ ท้ออีก กังวล หาใหม่ต่ออีก เอ้า ทำขึ้นมาอีก แก้อีก 

แก้ไม่ได้นะ ไม่ต้องแก้ ...รู้อย่างเดียว สงสัยก็รู้ งงก็รู้ ...ช่างหัวมัน อยากอยู่อยู่ไป มีอะไรเกิดขึ้น มีอารมณ์อะไรปรากฏ มันผูกมันพันอยู่กับอารมณ์อะไร ...รู้มันตรงๆ

หงุดหงิด...รู้ตรงนั้น ดูมันเห็นมันตรงนั้นเลย  กลัว...รู้มันเห็นมันกับความกลัวนั้น  กังวล...รู้มันเห็นมันกับกังวลนั้นเลย ...เอามันตรงๆ ตรงนั้น รู้เห็นตรงนั้นเลย

จนเห็นว่า...กังวลก็คือเหมือนแก้วใบหนึ่ง กลัวก็เหมือนถาดใบหนึ่ง เอ้า ...ไม่มีอะไร ไม่ได้เป็นใคร เป็นสิ่งหนึ่ง ไม่มีความเป็นสัตว์ ไม่มีความเป็นบุคคล 

นั่น ต้องแก้ลงในปัจจุบันนั้นเอง ...ไม่ใช่ไปนั่งตีอกชกหัว ไปกังวล ไปหาเหตุหาผล ค้นหาความเป็นจริงอย่างนั้นอย่างนี้ ...รู้มันตรงนั้น เห็นมันตรงๆ อย่างนั้น รู้ไปตรงๆ

จนใจมันเห็นถึงความปรากฏนั้น...เป็นธรรมชาติหนึ่ง ที่ไม่มีความเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นใคร เป็นของใคร ...แล้วมันก็จะถึงที่สุดของมัน คือความจางไป ดับไปเองของมัน

ใจมันก็จะเข้าไปเห็นไตรลักษณ์ ที่สุดของไตรลักษณ์คือความเป็นอนัตตา คือความไม่มี...ไม่มีตัวตนหลงเหลืออยู่เลย หายไปตรงไหนก็ไม่รู้ หายไปในไหนก็ไม่รู้

หาไม่เจอ...ความรู้สึกนั้น ลักษณะของขันธ์ตัวนั้น อาการของขันธ์อย่างนั้น ...มันหายไปในสุญโญ ไม่มีไปหมกเม็ดอยู่ที่ไหนหรอก

ใจรู้ใจเห็น ใจก็เป็นมรรค ใจก็เป็นผล ...ก็อาศัยใจรู้ใจเห็นนั่นน่ะ อาศัยใจนั้นน่ะเป็นมรรค อาศัยใจนั่นแหละเป็นผล ...ผลมันก็เกิดที่ใจนั้นน่ะ จากที่มันรู้มันเห็นนั่นแหละ

มันก็คลายออก ...มันรู้เห็นอะไร มันก็คลายออกอันนั้น  ผลก็เกิดที่ใจดวงนั้นแหละ เห็นมั้ย มันไม่ได้ไปหาที่ไหนนะผลน่ะ มันก็อยู่ที่ใจที่มันเห็นแล้วคลายออก บ้วนออกทิ้งไป เหมือนเขฬะน้ำลาย

ความว่าง ความเบา ความสบาย ความปล่อย ความหลุด ความพ้น ความออก ความเหนือจากขันธ์ มันก็ปรากฏที่ใจดวงนั้นนั่นแหละ ...มันเกิดตรงนั้นน่ะ เกิดที่ใจรู้เกิดที่ใจเห็นว่าใจรู้ใจเห็นเป็นมรรค 

นิโรธก็เกิดที่ใจปล่อยใจวางในสิ่งที่มันรู้ ในสิ่งที่มันเห็น ...มันวางอะไร...มันวางขันธ์  ขันธ์คืออะไร...คือสิ่งที่ปรากฏในปัจจุบัน  มันวางยังไง...มันเห็นว่าไม่มีอะไร มันเห็นความดับไปเอง ...นั่นแหละ ผลก็เกิดที่ใจ

มรรคก็ต้องอาศัยใจนั่นเป็นมรรค เป็นผู้รู้ เป็นผู้เห็น ...ถ้าไม่เป็นผู้รู้ผู้เห็นแล้วจะใครล่ะเป็นผู้เห็น ใครล่ะจะเป็นผู้รู้ ...มันก็ต้องเป็น มันก็ต้องมีผู้รู้ มันก็ต้องมีผู้เห็น มันก็ต้องมีความเป็นบุคคล

เพราะมันยังเป็นใจในกะลา ยังไงก็ต้องเป็นผู้รู้ผู้สังเกต มันต้องมีความเป็นบุคคลเป็นสัตว์ว่าใจของเราอยู่แล้ว ...แต่บอกว่าเป็นบันได ถ้าไม่มีผู้รู้ผู้สังเกต มันจะไปที่สุดของบันไดตรงไหน

กลัวแต่จะเป็นอัตตา กลัวว่าจะไปติดผู้รู้ ...อยากให้ติดๆ น่ะ ...บันไดนี่สมมุติมันมีสัก 100 ขั้น เดินขึ้นไปเหอะ อาศัยใจดวงนี้เป็นผู้เดิน เป็นมรรค รู้เห็นไป เป็นผู้รู้ผู้เห็นเข้าไป ช่างหัวมัน

เดินมันก็เดินไปเรื่อย เป็นมรรค ผลก็สูงขึ้น ...เออ อยู่ในที่ราบกับอยู่ในที่สูง มันคนละบรรยากาศนะ  เหมือนอยู่บนพื้นกับอยู่บนยอดดอย สภาวะบรรยากาศเมื่อมันสูงขึ้น ...มันก็เปลี่ยนไป

นี่ ผลมันก็เกิดตอนคนที่เดินคือใจดวงนั้น ...อ้าว ถึงยอดแล้ว ไม่รู้จะเดินที่ไหน...ทิ้งปุ๊บ ...จะไปปีนป่ายไขว่คว้าหาบันไดที่ไหน มันไม่มีบันไดให้ไปแล้ว ...มันก็หมดทางไปแล้ว

ใจมันก็คืนสู่อิสระ เต็มที่เต็มฐาน ไม่มีความเป็นผู้รู้ ไม่มีความเป็นผู้เห็น ...มีแต่ใจรู้ มีแต่ใจเห็น  ใจไม่ใช่สัตว์ ใจไม่ใช่บุคคล มันก็รู้ของมันอยู่

เคยอ่านหนังสือจิตอมตะรึเปล่า ของลุงหวีด นั่นแหละ จะไปละผู้รู้ผู้เห็นแทบตาย ถึงเวลามันละของมันเอง ...อาศัยใจมรรคนั่นแหละละตัวมันเอง มันรู้มันเองก็มันฆ่าตัวมันเองนั่นน่ะ

ท่านเรียกว่าเหมือนม้าอาชาไนย รู้จักรึเปล่าม้าอาชาไนย ม้าอัสดรนั่นแหละคือม้าอาชาไนย เวลามันเกิดน่ะมันถีบท้องแม่ออกมา ...เพราะนั้นถ้าม้าอัสดรม้าอาชาไนยนี่เกิด...แม่มันตาย

เหมือนกล้วยออกเครือ ...ก็ตัวมันน่ะให้เครือ แล้วเครือน่ะแหละฆ่าตัวเอง ...นั่นแหละใจที่เป็นมรรค ใจที่เป็นผล 

ไม่ใช่ว่าไปฆ่าทำลายในที่ไหนที่หนึ่ง ...ใจดวงนั้นแหละรู้ ใจดวงนั้นแหละเห็น แล้วก็ใจดวงนั้นแหละหลุดพ้นจากการที่มันรู้มันเห็น

อย่าเบื่อที่จะรู้ อย่าเบื่อที่จะเห็น อย่าเซ็ง อย่าท้อ...ว่าไม่เห็นได้ ไม่เห็นถึง ...มันจะไปไหน จะไปภพไหน เอาภพที่ไหนมา ...คือกะลาใบนี้มันเล็กเกินไปแล้วหรือไง หรือกะลานี้ไม่สวย หือ

จะเอาไปแข่งกับกะลาคนอื่นเขารึไง ...นักภาวนามันภาวนาหากะลากัน  ถ้ากะลาไหนปิดทองลงรักสลักเข้าหน่อยล่ะ อื้อหือ อยาก น้ำลายยืดน้ำลายย้อยว่า โอ้ย นี่ขั้นสูง

โอ้โห ทำไงน้อ อิชั้นจะได้เป็นยังงั้นมั่ง ได้กะลาทองมาครอบ น่าจะมีความสุขดี ...อือ บ้า ผีบ้า ภาวนาผีบ้า ...หลวงปู่ท่านบอกผีบ้า ภาวนาไม่เป็น

เพราะนั้น รู้เห็นไป อย่าเบื่อ อย่าท้อในการรู้การเห็น ...ให้ใจมันรู้ ให้ใจมันเห็น ไม่ว่าอะไร อย่าเลือก ...แม้แต่จะไม่รู้ว่าอะไรคืออะไรก็ตาม

ก็บอกแล้วมันคืออะไรๆ อย่างหนึ่งแค่นั้นในอาการนั้น...ไม่ว่าทางกาย ไม่ว่าทางนาม  บางทีก็ไม่รู้จะสรรหาชื่ออะไรดี เพราะไม่เคยเจอเลย ไม่เคยได้ยินมาก่อน เลยหาชื่อใส่มันไม่เจอ

ก็มันก็เป็นแค่อะไร...ก็รู้ว่ามันเป็นแค่อะไร ...อาการทางกายมันก็เป็นแค่อะไรอย่างหนึ่ง ไม่ต้องไปหาโคตรหาพ่อหาแม่มันหรอก มันเป็นอะไรก็เป็นอย่างนั้น ...รู้มันไป เห็นมันไป อย่าเบื่อ 

แล้วพอมันเริ่มเคลื่อนเริ่มคล้อย จะเคลื่อนจะคล้อยออกจากรู้จากเห็น ให้น้อม หยั่งลงไว้ที่รู้ที่เห็น ...เพราะไอ้ธรรมดารู้เห็นของพวกเรานี่มันแบบอัพยาอยู่ มันติดยา มันเมา ...มันมีความเมา 

มันพร้อมจะเข้าไปตีสนิทกับทุกอย่าง เข้าใจป่าว พอรู้...รู้แล้วว่ามีขวดเหล้า เดี๋ยวกูหาคนกิน คือเหล้ากับคนเมาน่ะ หือ เหล้าน่ะมันไม่เมา คือกูนั่นแหละเมา ...ก็กูไปกินเหล้าเองน่ะ ก็เคยกินน่ะ เห็นเหล้าไม่ได้

ขันธ์น่ะคือเหล้า มันไม่เมาหรอก ตัวมันน่ะก็ไม่ได้เรียกร้องให้คนมาเมาหรอก ...แต่เผอิญกูเคยกินน่ะ มันเห็นแล้วมันอดไม่ได้ที่จะเข้าไปกิน ...ไม่ใช่เขามาหลอกล่อนะ เราน่ะไปกินเขาเอง เนี่ย

คือถ้าคนตื่นแล้วนี่ มันรู้ ไม่กินน่ะเหล้า มันเมา ไม่ดี ... เพราะนั้นพอเริ่มรู้ว่า...เอาล่ะโว้ย กูยังไม่สร่างเมาดี คือมันยังไม่ตื่นเต็มที่  ไอ้นี่มันยังกรึ่มๆ ตายังปรือๆ ...อดไม่ได้ มันมีเชื้อหลงอยู่

พอมันจะคล้อยจะเคลื่อนไปหยิบไปจับ ไปหาเหตุหาผล ไปผลักเข้า ไปดึงออก ...นี่ คืออาการที่เข้าไปเมากับมัน...ก็ทัน แล้วกลับมารู้เห็นไว้ ...นี่เรียกว่าสมาธิ

สมาธิจึงเป็นเหตุให้เกิดปัญญา ...ถ้าไม่มีสมาธิคือกลับมารู้อยู่เห็นอยู่ ตั้งอยู่ที่รู้นี่  มันจะไม่เห็นว่ามันเป็นของมึนเมา ที่ไม่เคยเรียกร้องให้มึงมาเมากู จะได้ไม่ต้องไปว่า ไปต่อล้อต่อเถียงกับมัน

คือแรกๆ เห็นนี่ยังไปต่อว่า "มึงมาทำไม" ...เนี่ย มันมีปากมีเสียงมั้ย เราถึงบอกว่ากายนี่เงียบใช่ไหม มันเคยไม่บอกเลยว่า มาหลงหนูหน่อยนะคะ มาหลงผมหน่อย ผมหล่อนะผมดีนะ ...มันไม่พูดนี่ ใช่ไหม

แต่แรกๆ เวลาอารมณ์นั้นเกิด สภาวะนี้เกิด ก็หงุดหงิด ไม่ชอบมัน 'ทำไมถึงมา ทำไมถึงไม่หายไป ทำไมถึงลืม ทำไมถึงหลง' ...นี่ หลงก็หลงสิ ทำไมจะต้องหงุดหงิดล่ะ หือ ลืมก็ลืมสิ ทำไมจะต้องไม่พอใจล่ะ 

เขาไม่มีชีวิตจิตใจหรอก อย่าไปเมา ...ไปแอบกินน่ะ พอเริ่มแอบดวดเป๊กนึงก็เริ่มแล้ว กรึ่มๆ ...ถ้ามันมีเชื้อหลายเป๊กเข้าไปล่ะ "เฮ้ย ผมไม่เมาอ่ะ" ...แต่เดินนี่ไม่ตรงน่ะ มันก็ว่า “ผมไม่เมา หนูไม่เมา”

คือทั้งโลกมันเมา...เมากันทั้งโลก มันก็เดินสะเปะสะปะกันว่า “ไม่เมาๆ” ....มันคุยกันรู้เรื่องดี มันเลยถือว่าเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน เผ่าพันธุ์กบในกะลาเหมือนกัน

เดินเซกันไปชนกันมา เอากะลาชนกัน ไปแอบหงายดูของเขาบ้างว่าเขามีอะไร ใจเขาดีไหม ใจเขาคิดยังไง ไอ้นั่นนิสัยไม่ดี ไอ้นี่นิสัยดี 

นี่คือสีสัน มันเป็นสีสันในโลก แค่สีสัน เขาจะแต้มอะไรสีอะไรของเขา ...ทำไมจะต้องอยากรู้ ทำไมจะต้องไปอยากเห็น มันคิดว่ามันได้มรรคได้ผลมั้ง 

นี่ ...ไม่ได้มรรคไม่ได้ผลนะ ไปรู้ไปเห็นอะไรพวกนี้ ...ไอ้ความรู้พวกนี้มันไม่มีประโยชน์


(ต่อแทร็ก 5/25)




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น