วันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

แทร็ก 5/24 (1)


พระอาจารย์
5/24 (541111B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
11 พฤศจิกายน 2554
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ  :  แทร็กนี้แบ่งการโพสต์เป็น  2  ช่วงบทความ)

พระอาจารย์ –  การภาวนามันไม่ยากหรอก ถ้าเข้าใจ ภาวนาให้เป็น  ...ถ้าภาวนาไม่เป็นมันก็ยาก เพราะมัวแต่นั่งคอย นั่งหาอะไรกันอยู่

หน้าที่หรือมรรค เขามีหน้าที่ให้รู้ให้เห็น ไม่ใช่หน้าที่ให้หา ให้ทำ ให้รอ ให้คอย...ไม่ใช่ ...หน้าที่ของมรรค คือรู้เห็นๆๆๆๆ ระลึกไว้ รู้ไว้ เห็นไว้

อะไรก็ได้ที่มันปรากฏเดี๋ยวนี้ ขณะนี้ รู้มันไว้ รู้มันตรงๆ ...รู้สึกยังไง ดูมัน ดูความรู้สึกนั้น เห็นความรู้สึกนั้น ...มันเป็นอะไร

หรือว่าเป็นแค่ผี หรือมันเป็นแค่อากาศธาตุ หรือมันเป็นแค่ความว่างเปล่า หรือว่าเป็นแค่กลุ่มเมฆ กลุ่มหมอก กลุ่มควันเท่านั้นเอง ...ไม่มีอะไร ไม่มีความมีชีวิตจิตใจใดๆ มันเป็นของตาย 

อะไรก็ตามที่ออกมาจากใจ...ตายแล้ว มันตาย มันเป็นของตาย  มันเป็นขี้ มันเป็นขยะ มันไม่มีประโยชน์โพดผลสาระอะไรหรอก มันเป็นของตาย ...ไม่ว่าอารมณ์ ไม่ว่ากิเลส ไม่ว่าความรู้สึก ไม่ว่าความจำ

ไม่ว่าความคิด ไม่ว่าความเห็น ...มันล้วนแต่เป็นของตายที่ไม่มีชีวิตอยู่ในนั้น มันจะไม่ตายยังไง ...ทำไมถึงจริงจัง ทะนุถนอม มีเลือดเนื้อเชื้อไขในมัน มีความเป็นเราของเราในมัน

แต่ถ้าใจไม่ตั้งมั่นนี่ มันไม่เห็นหรอก มันไม่เห็นได้ต่อเนื่อง ...มันเห็นแว้บๆ แล้วก็กระโดดเข้าไปแจม ไปเกลือกกลั้วกับมัน

เหมือนกับควายแช่ปลักน่ะ นอนเนื่องอยู่ในปลักตม บ่อโคลน หลุมโคลน โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ...สำคัญว่านั่นควายกับปลักเป็นของคู่กัน เป็นของอันเดียวกัน ทิ้งกันไม่ได้

อาศัยความพากเพียร รู้ไว้เห็นไว้ ...ไม่ต้องไปหารู้หาเห็นหรอก ไม่ต้องไปหาว่าใจอยู่ไหน จิตอยู่ไหน ...ถามว่าเดี๋ยวนี้รู้มั้ย นั่นแหละ ชอบมาถามกันจังว่าฐานใจอยู่ไหน

จะหาให้เจอน่ะ...ต้องถามมันก่อนว่าใครหา รู้มั้ยว่าหา ...ถ้ารู้ว่าหา ตรงนั้นน่ะฐานใจ  ...ต่ถ้ายังหาอยู่ ก็หาไปเถอะ กี่ชาติก็ไม่เจอ ...เพราะไอ้ผู้หานั่นน่ะคือใจ ใจกิเลส มันอยาก

ก็รู้ตรงนั้นว่ากำลังหา มีอาการหาอยู่ รู้มั้ยว่าหา เห็นมั้ย อาการหาอยู่ ...นี่ มันก็แยกออก ใจก็ปรากฏอยู่ ณ ขณะนั้น  หาอีก...รู้อีกๆๆ ...เอาจนรู้นี่ตั้งมั่น...อ้อ ว่ารู้อย่างนี้ๆ รู้อย่างนี้รู้จริง

แล้วก็อยู่ตรงนั้นน่ะ ตั้งลงไปตรงที่รู้นั่นน่ะ ...อย่าไปตั้งไอ้ที่หาสิ อย่าไปตั้งไอ้ที่เห็นสิ ...ให้มันตั้งอยู่ที่รู้ ให้ตั้งอยู่ที่เห็น

นี่ นั่งอยู่นี่ ตาเราเห็นนี่ มันลืมไปว่ามันมีตาเห็น ใช่มั้ย ...มันมีแต่ของที่เห็น มันก็มองว่านี่ผู้หญิง แล้วก็ไปเอาจริงเอาจัง หา ควานหาอะไรในช่องว่าง มันอยู่ตรงไหนวะ

ไม่ได้ให้ไปหาตรงนั้นเลย ...ตั้งตรงนี้ นี่ๆๆ ลูกตาอยู่ตรงไหนก็ตั้งตรงนั้นน่ะ รู้ตรงนั้น ตรงที่รู้น่ะ ...ไม่งั้นหาไปไม่เจอหรอก มันก็เจออะไรประหลาดๆ มหัศจรรย์เรื่อยไป

มาตรงนี้ก็เห็นต้นไม้ ไปข้างในเมืองก็เห็นตึก เห็นอิฐเป็นปูน ...แต่เห็นมั้ยลูกตานี่น่ะ  รถไปไหน มันอยู่ติดตรงนี้ ไม่ไปไม่มา ...นี่เขาเรียกว่าตั้งมั่น

ไม่ได้ไปตั้งแล้วก็แบบว่า ... "เอ้า โยมนั่งนิ่งๆ นะ แล้วก็จะตั้งมั่นไม่ให้ไปไหน แล้วก็ว่าพุทโธๆๆ หรือลมหายใจๆ หรืออารมณ์สงบๆ " อยู่อย่างนั้น ...ไม่ใช่

ไปอยู่กับเขาได้ยังไง อยู่ไม่ได้ โลกเขาหมุน ...เราบอกให้อยู่ตรงนี้ยังไม่อยู่เลย เดี๋ยวก็ไปแล้ว เห็นมั้ย ...มันเป็นแขก อาคันตุกะ ไปๆ มาๆ บทจะมาก็มา บทจะไปก็ไป

กูไม่มีมารยาทกับมึงหรอก มากูก็ไม่เคยขออนุญาต กูไปกูก็ไม่เคยบอกลา  กูตั้งอยู่กูก็จะนอนอยู่ในนี้ มีอะไรมั้ย  มึงไล่กูก็ไม่ไป บทจะไปกูก็จะไปเอง บทไม่ไปกูก็อยู่ เห็นมั้ย ไปเอาห้าเอาสิบอะไรกับมันได้ 

แล้วจะไปหาอะไร ไปเอาดีเอาเด่ เอาถูกเอาผิดอะไรกับมัน  บทจะหนาวมันก็หนาว มันไม่บอกหรอก ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย กูจะหนาว มีอะไรมั้ย มึงมาเดือดร้อนทำไม

นี่ อยู่ตรงนี้ไม่เดือดร้อน ...อยู่ที่ตาเห็น อยู่ที่ใจรู้ นั่นแหละ มันไม่ขึ้นไม่ลงกับใครนะนั่นน่ะ  ต้องตั้งมั่นตรงนี้ จิตตั้งมั่น ใจตั้งมั่น ...ไม่ใช่ไปหาอะไรให้มันยึดไว้ ให้มันมั่น

ยึดไม่ได้หรอก เป็นอุบาย ...พุทโธก็พุทโธๆๆ เพื่อให้ใจมันชัดอยู่สองอย่าง...คือพุทโธดับใจตื่น ...ไอ้นี่พุทโธดับแล้วใจกูก็หายไปเลยกับสงบ ...มันไม่รู้ มันภาวนาไม่เป็น

แล้วก็จะไปหาบริกรรมนิมิตใหม่ขึ้นมาใหม่ ที่มันจะดี ที่มันจะอยู่ได้นาน ที่มันจะเที่ยง ...ก็บอกว่ามันไม่เที่ยง ...ไม่เที่ยงยังไง ...นี่ พุท..ดับ...โธ..เกิด ตัวมันขณะปัจจุบันมันยังไม่เที่ยงเลย  ลมหายใจยัง..พึ่บ..ดับๆ 

ถ้าอยากให้เที่ยงน่ะ อยู่ที่ใจ ...ใจรู้ใจเห็นน่ะมันเป็นอนันตา เป็นอมตะธาตุอมตะธรรม ฆ่าไม่ตายขายไม่ขาด ไม่เกิดไม่ดับ

ไอ้ที่เกิดๆ ดับๆ น่ะของตายแล้ว ของต้องตาย ของต้องเกิด …แล้วยังไปอยู่กับของที่มันเกิด-ตาย ยังไปอยู่กับของที่มันเกิดๆ ดับๆ ไม่อย่างงั้นก็จะไปเกิด-ดับอยู่กับมันนั่นแหละ

ดีใจ เสียใจ อาลัย อาวรณ์ ขวนขวาย ครอบครอง หวงแหน อาดูร คร่ำครวญ กับของที่มันตายแล้ว คือของเกิดๆ ดับๆ ...นั่นแหละ ก็ใจไปผูกอยู่กับมัน ด้วยความไม่รู้

ถ้ารู้ก็...มึงจะเกิดก็เกิด มึงจะดับก็ดับ  กูอยู่ตรงนี้ ...นี่ล่ะตั้งมั่น สมาธิ สัมมาสมาธิ ...ถ้าพูดว่าสมาธิเดี๋ยวมันก็มั่วไปอีกว่าสงบนั่นคือสมาธิ ...ไม่ใช่ สงบก็ไม่ใช่สมาธิ สงบก็คือสงบ นิ่งก็คือนิ่ง ...ไม่ใช่รู้นะ

ทำไมถึงต้องเรียกว่าสัมมาสมาธิ ทำไมถึงต้องเรียกว่ามิจฉาสมาธิ ...ไม่งั้นมันก็จะเอาแต่ความสงบ กูไม่สนรู้น่ะ ...นั่งมาสิบปีก็เท่าเก่า สงบมากหรือสงบน้อย สงบนานหรือสงบช้าหรือสงบเร็ว 

มันก็ได้แค่นั้นน่ะ ...แต่รู้อยู่ไหน ใจอยู่ไหน เห็นตรงไหน เห็นอยู่ที่ไหน มันไปมุดหัวอยู่ไหน...ไม่รู้เลย

มันไม่ไปไหนหรอก โมหะมันบัง ...เหมือนพระอาทิตย์มีเมฆหมอกบัง  พระอาทิตย์ไปไหนล่ะ ...พระอาทิตย์ไม่เคยไปไหน...ก็อยู่ ...โลกมีมืดมีแจ้ง เห็นมั้ย พระอาทิตย์ไม่เคยไม่แจ้ง ...นั่นแหละใจ

ไอ้สงบน่ะ...เดี๋ยวก็สงบบ้าง เดี๋ยวก็ไม่สงบบ้าง เดี๋ยวก็มากขึ้นบ้าง เดี๋ยวก็น้อยลงบ้าง เดี๋ยวก็ประณีตขึ้นบ้าง แนบแน่นขึ้นบ้าง...ก็แค่นั้น ...ใจเท่าเก่า รู้เห็นเท่าเก่า เห็นมั้ย แล้วจะไปตั้งทำไมกับสงบ

โคตรพ่อโคตรแม่ของสงบคือใจ ...ใจรู้นั่นแหละคือความสงบในตัวของมันเอง มันเป็นธาตุที่สงบเย็น สว่าง สะอาดบริสุทธิ์ ...นั่นน่ะความสงบที่แท้จริง เรียกว่าจิตตั้งมั่น ใจตั้งมั่นเป็นหนึ่ง จิตเอก จิตหนึ่ง

เมื่อตั้งอยู่ที่จิตหนึ่ง มันก็จะเห็นธรรมหนึ่ง ทุกอย่างเป็นธรรมหนึ่งปรากฏต่อหน้ามัน ...มันเห็นได้อย่างเดียวน่ะแหละ มันไม่เห็นอย่างอื่นหรอก

คิด..รู้ นั่ง..รู้ ปวด..รู้ เมื่อย..รู้ ขยับ..รู้ ไหว..รู้ นิ่ง..รู้ สุข..รู้ ทุกข์..รู้ เห็น..รู้ ได้ยิน..รู้ ได้กลิ่น..รู้ พอใจ..รู้ ไม่พอใจ..รู้ ...มันรู้ได้สิ่งหนึ่งที่ปรากฏนั่นแหละ แต่อาการมันก็หลากหลายแตกต่าง...เกิด-ดับ เกิดอันนี้ที ดับอันนั้นที 

นั่นแหละ เห็น มันเห็นการเกิดดับของขันธ์ ไปๆ มาๆ ...เดินไปเดินมานี่ให้เห็นสิ เห็นกายเกิดดับไหม เห็นมือเกิดดับไหม เห็นขาเกิดดับไหม เห็นหน้าตาหลังไหล่เกิดดับไหม

มันขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว มันเกิดตรงนี้แล้วก็ไปดับตรงนั้น เกิดตรงนั้นแล้วก็ดับตรงนั้นแล้วก็มาเกิดตรงนี้ มันเกิดตรงไหนมันก็ดับตรงนั้น เห็นมั้ย มันว้อบแว้บๆ

เอาใจไปใส่ตรงไหน เอาใจไปทิ้งไว้ที่ไหน ...ปัจจุบันเกิดดับไม่เห็น ขันธ์เขาแสดงอยู่ตลอด ...ปลายนิ้วปลายมือปลายขา หน้าหลังไหล่ ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว ...พวกนี้ มันเกิดดับทั้งนั้นน่ะ

แต่ใจ...ถ้ามันไม่ตั้งอยู่ที่ใจ มันไม่เห็น ...มันไปส่ายหาอะไรก็ไม่รู้ จะดูอะไรก็ไม่รู้ จะไปขุดค้นอะไรก็ไม่รู้

ไปขุดเอาในตำรามาบ้าง ไปขุดจากสัญญาจำได้หมายรู้บ้าง ไปขุดเอาสิ่งที่ครูบาอาจารย์เห็นแล้วได้ยินมาบ้าง นี่ เอาตำรามาคอยพลิกคอยเปิดมาหา แล้วก็ควานหาไปในตำรา เสียเวลา ...มันหลง

ระลึกได้ รู้ได้ก็ทิ้งให้หมดอาการเหล่านี้ ...กลับมารู้เห็นปัจจุบัน เดี๋ยวนี้ มันเป็นยังไง  เห็นรู้ว่าเห็น ได้ยินรู้ว่าได้ยิน ...ให้มันเป็นคู่กันไว้ แล้วก็ตั้งอยู่ที่รู้ อย่าไปตั้งอยู่ที่เสียง

เวลาฟังเสียง ให้ฟัง ให้ตั้งใจฟัง...ตั้งใจฟังเสียงแต่ละคำ มันดับๆๆๆ ...ไม่ฟังเอาเรื่องเอาราวน่ะ เวลาฟังเขาคุยกันน่ะ อย่าไปฟังเอาเรื่อง ฟังเอาเสียง ตั้งใจฟังเป็นเสียง เป็นคำ เป็นประโยค

นี่เขาเรียกว่าตั้งใจ ...คนฟังเป็นน่ะตั้งใจฟัง แต่เวลาฟังเสร็จแล้วไม่รู้เรื่องเลย ไม่มีอารมณ์เลย ไม่มีจำได้หมายรู้เลย  ไม่มีราคะ ไม่มีปฏิฆะเลย ...เออ มันไม่รู้เรื่อง แต่มันดีว่ะ

เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นตรงนั้นเลย มันดับๆๆ ...ฟังเป็นประโยคดับเป็นประโยค ฟังเป็นคำดับเป็นคำ พอหมดคำพูดก็ดับไปหมด เหลือแต่ใจรู้เห็นอยู่เท่านั้น

ธรรมเขาแสดงความเป็นจริงตลอดเวลา ...แต่มัวแต่ไปจม ไปควาน ไปหา ไปเพ่งอยู่กับอะไร ไปหลงอยู่กับอะไร จะไปหามรรคผลนิพพานที่ไหนอยู่

มรรคอยู่ที่หู มรรคอยู่ที่ตา มรรคอยู่ที่กาย มรรคอยู่ที่รู้ มรรคอยู่ที่เห็น ...ให้มันตั้งลงไป ในทุกสิ่งที่ปรากฏ ...แล้วก็จะเห็น มันไม่มีอะไร เหมือนฟองอากาศในน้ำที่มันเป็นลูกแล้วก็แตก แล้วก็แว้บหายไปๆ

ดูไปดูมา ขันธ์น่ะ เหมือนฟ้าแลบแพล็บนึง เหมือนกลืนน้ำลายพึ้บนึง ...ในความรู้สึกวูบหนึ่งอย่างนี้...แล้วหายไป ...ไม่เห็นมันเดือดร้อนเลย ตัวมันนะ ตัวความรู้สึกที่กลืนน้ำลาย ตัวมันไม่เดือดร้อนเลย

แปลว่าอะไร ...แปลว่ามันเป็นของตาย แปลว่ามันไม่มีชีวิตจิตใจ ไม่มีความเป็นบุคคลเป็นสัตว์ ไม่มีความเป็นใครของใคร ...เป็นธรรมที่ปรากฏ หรือธรรมชาติที่ปรากฏ...ชั่วคราว แป๊บหนึ่ง

ให้ใจมันเห็น สังเกตอย่างนี้ ...แล้วมันจะเห็นว่าเหมือนกันน่ะ ทุกอาการ เหมือนกับกลืนน้ำลาย ไม่ได้ต่างกันเลย  สุข-ทุกข์ ดี-ร้าย ความคิดความเห็น กิเลส ...เหมือนกันน่ะ

มันแตกต่างในลักษณะของการตั้งอยู่ คือขันธ์ที่ปรากฏ แค่นั้นแหละ ...แต่สุดท้ายก็ลงรูเดียวกัน...สูญ เห็นมั้ย

เพราะนั้นระหว่างที่มันตั้งอยู่นี่ มันจะทนไม่ได้  มันทานไม่ได้ มันทนไม่ได้  มันทนรู้ทนเห็นอยู่ไม่ได้ มันทนต่อเสียงไม่ได้ มันทนต่อรูปที่ปรากฏไม่ได้ ...มันรอให้เขาดับเองไม่ได้

ระหว่างที่มันรู้อยู่เห็นอยู่แล้วมันยังไม่ดับนี่ มันก็จะมีความคิด “ทำไมมึงไม่ไปซะทีวะ ทำไมมึงไม่หยุดพูดสักทีวะ” เห็นมั้ย มันทนไม่ได้ แล้วก็...“มึงไม่หยุด งั้นกูไปเอง” 

มันก็พาขันธ์ไป พาขันธ์เดินไป ...เห็นมั้ย กรรม มันก็พาขันธ์เจริญเป็นกายกรรม ...หรือไม่หยุดพูด ก็สะกิดพูดสวนไป ด้วยวจีกรรม ...เพื่ออะไร...เพื่อมันจะได้หยุดพูด

นี่ เข้าไปสร้างโลกนะๆ สร้างโลกของเขา แล้วก็สร้างโลกของเรา ...เพื่อสุข เพื่อภพ...กูจะได้เสวยความสบายใจหรือความสุข คือภพและชาติ

แล้วไง ...เดี๋ยวมันก็มาพูดอีก ไม่ยอมไป ...ชรา พยาธิ มรณะโสกะ ปริเทวะ โทมนัส อุปายาสเกิด ...สร้างโลกใหม่ หาวิธีการใหม่ อุบายใหม่

“ทำยังไงที่มันจะไม่มาใกล้กู ทำยังไง พูดยังไง ที่ว่ามันจะเข้าใจเรา มันไม่เข้าใจเราเลย” นี่ มันเอาขันธ์ไปแก้ขันธ์ มันไม่เอาธรรมแก้ มันไม่เอาใจเข้าไปแก้

มันอาศัยขันธ์ หรือเจตนา หรือความคิดความเห็นเข้าไปแก้ ...แก้แบบโง่ๆ  เอาความโง่ไปล้างความโง่ เอาความโง่ไปแก้ความโง่

มันก็เลยเป็นกะลากระทบกันน่ะ มันแก้กันอย่างนั้น ...กูจะได้อยู่คนเดียว เป็นกะลาใบเดียวในโลกนี้ มึงห้ามมายุ่งกับกู ห้ามผัสสะทุกอย่างมาเกิดตรงนี้

นู่น ไปเกิดเป็นพรหมไป ...นี่ อย่างนี้สุดท้ายมันจะไปสู่ภาวะนั้น ไม่มีรูปไม่มีนาม ไปอยู่คนเดียว ไปหารูอยู่ 


(ต่อแทร็ก 5/25  ช่วง 2)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น