วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

แทร็ก 5/25 (2)


พระอาจารย์
5/25 (541111C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
11 พฤศจิกายน 2554
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 5/25  ช่วง 1

พระอาจารย์ –  นี่ตอกย้ำให้รู้ไว้เห็นไว้พอแล้ว เท่านั้นแหละ อย่าเกินรู้เกินเห็น อย่าทำอะไรที่มันเกินรู้เกินเห็นออกไป 

มันจะเคลื่อนออกไป มันจะคล้อยออกไป มันจะไปหา มันจะเข้าไปมี มันจะเข้าไปเตรียมตัวเตรียมอะไร ...รู้ไว้เห็นไว้ อย่าให้มันเคลื่อนออกไป จนมันก่อร่างสร้างขันธ์มารองรับข้างหน้าข้างหลังอะไร

รู้ไว้ ...อย่าเสียดาย อยู่ที่รู้นี่แหละ อยู่ที่เห็นไว้  ทุกอย่างก็จะจืดจางลงไป ความเข้มข้นในขันธ์ก็น้อยลง ...ไอ้ความเข้มข้นคือเข้าไปมีเราเป็นเรานั่นแหละ

เพราะนั้นความมัวเมาที่ว่า...เห็นเหล้าปุ๊บต้องกินปั๊บๆ นี่  เหล้ามันก็มีหลายชนิด แม่โขง เหล้าขาว เหล้าป่า แชมเปญ ไวน์ ...เห็นมั้ย รสชาติเยอะแยะ แตกต่าง เบียร์ ก็เบาๆ ว๊อดก้า เตกิลา ก็แรงหน่อย  

เนี่ย ขันธ์นี่เหมือนเหล้า ...คราวนี้มนุษย์ทุกคน สัตว์ทุกตัว มันเคยกินมาทุกชนิดของเหล้านี่ มันเลยติดใจในรสชาติ ...แต่ตอนนี้ไม่ได้กิน มีแต่เหล้าขาว มันก็เลยคิดว่าเชมเปญอร่อยกว่า

มันเคยกินนะ... มันเกิดตายไม่รู้กี่ครั้งแล้ว ไม่ใช่ไม่เคย ไม่ใช่ไม่เคยรับรู้เวทนาในการปรากฏขึ้นของขันธ์นั้นๆ  มันก็กลายเป็นสัญญาอุปาทานอยู่ข้างใน คือสันดานน่ะ...มันฝังไว้

ยังหาไม่เจอ กูก็จะหาให้เจอ ...ถ้ามีเงินมันก็หาซื้อมา ถ้ามีเหตุปัจจัยที่สามารถสร้างเหตุปัจจัยให้เพียงพอให้เกิดรสชาติของเหล้าขวดนั้น หรือให้ใกล้เคียงก็ยังดี

พอได้กินแล้วก็ไม่พอ...เอ๊อะ มันจะต้องมีแบบหมักร้อยปี หรือก็ต้องเอาหมักล้านปี  คือถ้าหมักนี่มันต้องนุ่มกว่านี้นะ บรรเจิดกว่านี้นะ ...แน่ะ ไม่อิ่มแล้ว ไม่เคยพอ

สัญญานี่มันพาเกิดพาตาย ความไม่รู้พาเกิดพาตาย ความจดจำได้หมายรู้พาเกิดพาตาย พาไขว่พาคว้าพาค้น ...เพราะนั้นการอดเหล้าการอดยา อดกิเลสนี่ มันต้องหักดิบ  

รู้...อยากแต่ไม่กิน  มันจะไป อยากไป...ไม่ไป  อยากจะเข้าไปเพิ่ม อยากทำให้มันลด..ไม่ทำ ไม่ใช่ของเรา ...รู้อย่างเดียว อยู่ที่ใจ นี่ ตั้งมั่น เอาจนมันไม่ไปไม่มา

แต่ขั้นต้นนี่...มันยังแยกไม่ออกเลย อันไหนเป็นรู้..อันไหนเป็นขันธ์น่ะ  อันไหนเป็นนาม..อันไหนเป็นรู้ นี่ อันไหนเป็นความรู้สึก..อันไหนเป็นรู้

บางทีมันตีตราประสมโรงกลายเป็นเหล้าขวดเดียวกันซะอย่างนั้น ...คือมันกินจนเมาแล้ว และไม่รู้เนื้อรู้ตัวได้ในอาการของขันธ์นั้นๆ แล้ว ...มันก็ลำบาก

แต่ว่าอาศัยเล็กๆ น้อยๆ นี่...รู้ไปเห็นไปๆ แล้วก็ตั้งมั่นไว้ ...ความชำนาญ ความชัดเจนในที่ที่ควรอยู่ ไม่เข้าไปในที่เป็นอโคจร  ...ไม่อย่างนั้นน่ะ ไม่ทันมันหรอก 

มันคุ้นเคย มันเที่ยวเตร่อยู่ในที่อโคจรอยู่เสมอ ...คือขันธ์ห้านี่เป็นอโคจร  ขันธ์ห้าภายใน ขันธ์ห้าภายนอกคือผัสสะ คืออายตนะ ...มันโคจรไปหมดในที่ที่ไม่ควรไป 

แต่ไปแล้วมันได้ความเริงรมย์ คือความเผลอเพลิน  ไม่มีอะไรหรอก..เพลินกับความคิด ไม่มีอะไรหรอก..เพลินกับใจลอย มันเพลินดี ...พอให้กลับมารู้แล้วหงุดหงิด ไม่มันเลย อย่างนั้น 

ปล่อยให้มันสบาย ใจมันลอย ...ใจมันลอยแล้วมันลื่น ไถล เถลไถล ...เหมือนยืนอยู่บนกระจกที่มีเลนน่ะ มันแพลบๆ แพลบๆ  มันไหล มันลื่น เห็นมั้ย ...ถ้ามันลื่นมันไหลนี่ มันไม่มีอะไร ปล่อย ลอย เฉยๆ

ลื่นไปทิ่มตอก็ได้ ทำไง มันควบคุมไม่ได้นะเวลามันลื่นไถลนี่  มันจะไถลไปเจออะไรใครจะไปรู้  มีตอ มีหิน มีเหล็กแหลม มีอะไรที่มาเสียดมาแทงเป็นบาดแผลได้ ...เห็นมั้ย ประมาท ใจลอย

ยังไงก็รู้ไว้ อยู่ไว้ๆ รู้ไว้เห็นไว้ ไม่มีอะไรก็รู้อยู่ที่รู้เห็นๆ ...ถ้าไม่มีอะไรก็เห็นอยู่ที่กาย รู้อยู่ที่กาย อย่าเบื่อ ...กายมันเคลื่อนไหวเกิดดับอยู่เสมอ นี่ ดูเหมือนฟ้าแลบ เหมือนไฟแลบ แพลบๆ ในกายนี่ 

ในการเคลื่อนไหวแต่ละครั้ง มันเห็นการดับตามหลังอยู่ตลอดเวลา ...ใจก็ตั้งมั่นขึ้นมา อย่าลืม อย่าลืมใจ อย่าลืมรู้ อย่าลืมอยู่ที่รู้ อย่าลืมฐาน อย่าลืมที่ตั้งของรู้ 

อย่าลืมว่ามีลูกตา ลูกตาอยู่ไหน ตาในตาใจ ...ที่จริงน่ะมันหาที่ตั้งไม่ได้อยู่แล้ว มันไม่มีที่ตั้ง แต่มันมีของมันอยู่ ตรงที่นั้นน่ะ ไม่รู้ตรงไหน

แต่ถ้าหยั่งลงไปบ่อยๆ บ่อยๆ รู้บ่อยๆ  มันก็จะชัดเจนขึ้นตรงนั้นน่ะ...แต่ไม่รู้ตรงไหน ...นั่นน่ะอยู่ตรงนั้น อยู่ที่รู้ ...ทุกคนน่ะมีอยู่แล้ว อาศัยรู้นั่นแหละมาเห็นทุกอาการ โดยไม่อิดออด


เอ้าพอแล้ว ไปเข้าห้องไอซียูกันต่อ ไปอยู่กับทุกข์ขันธ์ของสัตว์โลก ...นี่ จริงๆ มันก็ไหลไปนะ ไปจมกับทุกข์คนอื่น...ด้วยความเมตตาบ้าง ด้วยความปฏิฆะบ้าง

อย่าไปเกื้อกูลโลกเลย เกื้อกูลใจก่อน ....มีคนเกื้อกูลเยอะแล้ว..โลกน่ะ หลายมูลนิธิ ...แต่ละคนก็จะตั้งตัวเป็นมูลนิธิกันทั้งนั้นน่ะ

เกื้อกูลใจก่อน...เอาใจให้พ้น เอาใจให้หลุด  แล้วค่อยว่ากัน แล้วค่อยมาสะระตะดู..เฮ้ย กูจะช่วยมึงดีรึเปล่าโลกนี้ หรือกูไม่ช่วยดีกว่า 

ให้มันได้ตอนนั้นก่อน ...อย่าเพิ่งคิดริอ่าน ไม่มีเงินสักแดง ตั้งมูลนิธิแล้วหากินเอา เขาจะมาช่วยหรือว่าต่อไปก็มีเงินมาสมทบทุนช่วยได้ต่อไปเอง

โดนหลอก ...ความดีก็หลอก ความชั่วก็หลอก บุญก็หลอก บาปก็หลอก...เจ็บทั้งเพ ...มันมีเวทนาที่ต่างกันไป บุญก็เวทนาสุขมาหลอกมาล่อ บาปก็เป็นเวทนาทุกข์ให้เราหนี ให้เราผ่าน

แล้วก็เกื้อกูลจะให้ทุกคนได้กินอิ่มหนำสำราญเสมอเรา หรือยิ่งกว่าเรา หรือดีกว่าเรา แล้วก็ภูมิใจในผลงานชิ้นเอก หรือไม่เอกก็ไม่รู้ ...อย่าไปเชื่อ

เอาใจไว้ก่อน เห็นแก่ตัวเห็นแก่ใจไว้ก่อน เอาใจให้รอดก่อน ...ถ้ารอดแล้วนี่ มันเป็นมูลนิธิโดยปริยาย คือมันเป็นน้ำมหาสมุทรอันใหญ่ที่ใครจะดื่มกินก็ได้ไม่หวงแหน และเป็นน้ำใสสะอาดจริงๆ ไม่เจือปน 

อันนี้ต่างหากคือโคตรพ่อโคตรแม่มูลนิธิ เกื้อกูลโลก...สามโลก ...ไม่ใช่เกื้อกูลแค่พวกมีขามีแขน มีมือมีตีน ...ที่ไม่มีแขนไม่มีขา ไม่มีมือไม่มีตีน...ยังกินได้เลย

ไอ้มูลนิธิหลอกเด็กน่ะ กิเลสทั้งนั้น ความอยาก มันเป็นข้ออ้าง... ความรู้เท่าหางอึ่ง อู้ย จะสงเคราะห์โลก เผื่อแผ่ ... จะเผื่อใคร เห็นตายกันเต็มโลก ตายทั้งคนเผื่อ ตายทั้งคนถูกเผื่อน่ะ

เพราะนั้นสงเคราะห์ตนเองให้มาก เมตตาตน สูงๆ ...เจริญใจเจริญจิตอยู่ภายใน เอาให้มันได้ฐาน...เต็มที่เต็มฐาน 

เพราะมันรู้ตัวได้ทั้งนั้นน่ะไม่ว่าตรงไหน ...การดื่มการกิน การใช้การสอย การอ่าน การที่ผู้อื่นมารับเสนอสัมผัสสัมพันธ์ มันก็รับได้โดยธรรมชาติของใจดวงนั้น

ก็พอแล้ว พอประมาณแล้ว อย่าให้มันกว้างเกินรัศมีมือตีน ...ความคิดมันพาให้เกินรัศมีของการสัมผัสรู้ ...แค่ตาเห็น หูได้ยิน มือสัมผัสได้ ได้กลิ่นลิ้มรสตรงนั้น

จนกว่าจะข้าม หลุด พ้น ...ถึงขั้นที่เรียกว่าหอมทวนลม ...ศีลหอมทวนลม สมาธิทวนลม ปัญญาทวนลม ....คราวนี้ล่ะ มันสามารถจะรับรู้ได้โดยภาวะที่ไม่ต้องเห็น ไม่ต้องได้ยินเข้ามา 

นี่ที่สุดของความเป็นปริสุทธิแล้ว...มันจะทวน ...แต่ตอนนี้ใจมันอยากจะไปทวน หรือความอยากมันพาไป...ด้วยความดีหรือกุศล มันพาเกิด 

กุศลก็พาเกิด ...ไปเกิดตัวตน ไปสร้างตัวตนที่ดีข้างหน้าข้างหลัง ไปสร้างคนอื่นให้เป็นตัวตนที่ดีข้างหน้าข้างหลัง ...มันก็ได้เป็นประโยชน์ในโลกเท่านั้น

แต่ประโยชน์สูงสุด สาระสูงสุด...สำคัญ ...เพราะประโยชน์ในโลกนี่ คือ...มันได้นิดนึงแล้วมันก็ดับไป หรือจะมากมายขนาดไหนก็ยังมีเวลาดับ

แต่ว่าประโยชน์สูงสุดมันไม่ดับ มันเป็นอนันตกาล ...ตายไปแล้วนี่ หมดไปแล้ว สิ้นไปแล้วนี่ ยังอาศัย สืบทอดกันไปหลายร้อยหลายพันปีได้เลย ...เห็นมั้ย ยังประโยชน์ให้โลก

พระพุทธเจ้านี่ สองพันกว่าปียังอยู่เลย ยังสามารถเกื้อกูลสัตว์โลกได้ต่อเนื่องไป ...เนี่ย คือความเป็นเกณฑ์ของการสงเคราะห์โดยธรรม โดยใจที่เป็นธรรมแล้ว มีค่ามากกว่า

อย่าเอาเวลาไปเตรียมการเรื่องคนอื่น เผื่อสิ่งอื่น ข้างหน้าข้างหลังอะไร ...ไล่ใจกลับบ้านก่อน หาใจให้เจอ มัดให้อยู่ มัดจิตมัดใจไว้ในกายอันนี้

อย่าให้มันลุกๆ เดินๆ มันจะกลายเป็นโปลิโอ ตกใต้ถุนบ้าน โดนเขาถีบบ้าง โดนเขาตบบ้าง โดนเขารังแก โดนเขาหลอกไปเชือด ไปฆ่า ไปทึ้งบ้าง ...ออกนอกบ้านแล้วจะง่อยเปลี้ยเสียขา

ฟูมฟักใจไว้ รักษาใจด้วยสติสมาธิปัญญา เนืองๆ เป็นนิจ ...หล่อเลี้ยงใจให้เข้มแข็ง มั่นคง เด็ดเดี่ยว กล้าหาญ ไม่หวั่นไหว ...นั่นแหละใจตั้งมั่น มีผลคณานับ เกื้อกูลสัตว์โลกได้นับไม่ถ้วน

เราสอนคนนี่ เราไม่เคยป่าวประกาศเลยนะ...มากันเอง ...มาทำไม (หัวเราะกัน) ใช่ป่าว ...กูอยู่ของกูเองอยู่คนเดียว สบายดี ...มาทำไมกัน 

มาเองนะ ไม่ได้เรียกร้อง ...กระเสือกกระสน ดิ้นรน กระวนกระวายกันมาถูกด่า ถูกว่ากันเอง ...แล้วก็มาซ้ำมาซากอยู่นี่ เห็นมั้ย 

ไม่ได้เรียกร้อง หรือว่าไปลงประกาศโฆษณาติดบิลบอร์ดตรงไหน หนังสือหนังหาก็ไม่พิมพ์อะไร ใครก็ไม่รู้จัก ...มันมาของมันยังไง อุตส่าห์ขุดรูอยู่แล้ว 

นิมนต์ก็ไม่เคยไป ...ขนาดพระอยู่วัดด้วยกันมันยังถามเลย มันยังไม่รู้จักเลย  มีพระอยู่บนวัดไม่รู้กี่องค์ มาเห็นเรามันยังถาม...ท่านอยู่ที่ไหน  

กูอยู่นี่ก่อนมึงเกิดอีก (หัวเราะ) กูอยู่นี่ก่อนมึงเกิดอีกนะ มึงอายุเท่าไหร่ กูนี่อยู่ก่อนมึงเกิดอีก  กูก็อยากถาม...มึงอ่ะไปอยู่ไหนมาตั้งแต่กูภาวนา

มันก็ยังดั้นด้นเดินมาหา ...มาโดนเตะโดนถีบโดนถองให้จิตมันสงบระงับราบคาบ เนี่ย ไม่งั้นจิตมันดิ้น กระเหี้ยนกระหือรือ ที่มันจะเผยอ ลืมตาอ้าปาก เข้าไปดื่มกิน เข้าไปหา เข้าไปมี เข้าไปเป็น 

มาก็โดนกำราบให้จิตมันราบคาบ เป็นระยะๆ ไป...ด้วยอำนาจของธรรม ด้วยอำนาจของปัญญาญาณ

คนอื่นกำราบยังไม่สำคัญเท่าตัวเองต้องกำราบให้ได้ ...เพราะว่าครูบาอาจารย์ไม่ได้ตามไปสอนถึงในฝันหรอก ไม่ไหว เหนื่อยว่ะ ...ใครจะไปเตือนได้ทุกขณะจิต ใช่มั้ย

ใครก็ไปตามสอนไม่ได้น่ะ มันต้องสอนตัวเอง ...ใครจะไปรู้ว่าตอนนี้มีสุข มีทุกข์ มีโศก  เผลอ เพลิน หลงไปตอนไหนกับอะไร ...ใครจะไปตามสอนตามบอกได้

พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าช่วยไม่ได้หรอก อัตตาหิ อัตโน นาโถ...ต้องกำราบตัวเอง  กำราบใจกำราบจิต อยู่ที่จิตอยู่ที่ใจ ...อยู่ที่ใจอย่าให้จิตมันกำเริบ

อย่าให้อาการของจิตมันกำเริบเสิบสาน มักใหญ่ใฝ่สูง ไปมีไปเป็นกับสภาวะใด ไม่ว่าธรรม ไม่ว่าโลก ...ไม่เอาทั้งโลก ไม่เอาทั้งธรรมน่ะ ...สภาวธรรมก็ไม่เอา สภาวะโลกก็ไม่เอา ดีร้ายถูกผิดก็ไม่เอา 


(ต่อแทร็ก 5/25  ช่วง 3)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น