วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

แทร็ก 5/25 (1)


พระอาจารย์
5/25 (541111C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
11 พฤศจิกายน 2554
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ  :  แทร็กนี้แบ่งการโพสต์เป็น  3  ช่วงบทความ)

พระอาจารย์ –  Knowing กับ Knowledge นี่ ใช้ภาษาอังกฤษซะอีกแน่ะ ...ไอ้ Knowledge นี่ ความรู้ พวก message ข้อความแขนงต่างๆ นี่ก็เป็น Knowledge ทั้งนั้น

แต่เราไม่เอาน่ะ ไม่ให้เป็น Knowledge ... ให้ Knowing …Knowing Being...รู้ตรงนี้ อยู่ตรงนี้...แค่รู้ ...นั่นเป็นความรู้ที่แท้จริง คือมันใกล้เคียงกับใจที่สุดแล้ว

เหมือนเดินอยู่ที่บันได...ที่จะขึ้นไปสู่ที่สุดของบันได ...ไม่ใช่เดินอยู่บนพื้นราบไปเรื่อยเปื่อย แล้วก็ระเหเร่ร่อน ตกระกำลำบากอยู่ตรงนั้นน่ะ

เดี๋ยวก็จะไปเห็นสีสันๆ มีความรู้อันนั้นเกิดขึ้น มีความเห็นอันนั้นเกิดขึ้น แปลกๆ ใหม่ๆ  ก็กระดี๊กระด๊า ภูมิอกภูมิใจมีอะไรขึ้นมา ....มันมีอะไรสีสันเยอะแยะ...ขันธ์น่ะ 

ข้างในนี่มันยังมีสีสันอีกเยอะ...ในสามภพ  มีตั้งแต่หยาบ...จนสุดหยาบ  มีตั้งแต่ประณีต...จนสุดประณีตน่ะ ...อยู่ในขันธ์ห้านี่แหละ ไม่ต้องกลัวหรอก ยังไงมันก็ได้เจอ 

จนกว่าจะรู้รอบรู้แจ้งนี่ เอาจนโงหัวไม่ขึ้นน่ะ ไม่สนใจอะไรเลย รู้อย่างเดียว เห็นอย่างเดียว ช่างหัวมัน รู้ไว้อย่างเดียว เป็นที่เดียว ...จึงจะเอาตัวรอดได้ รอดออกจากบ่วงขันธ์ กองขันธ์

ภาวะนิพพาน ภาวะพุทธะก็เกิดขึ้นในขณะที่รู้เห็นดับไปๆ ...นิพพานก็ไม่ได้ห่างไกลหรอก เห็นความดับไป เห็นความเป็นอนัตตา

เพราะนั้นเราถึงบอกว่าแต่ละขณะนี่ เดินเหินนี่ เกิดที่หู เกิดที่ตา เกิดที่มือ เกิดที่แขน...มันก็ดับที่แขน ดับที่ไหว ดับที่นิ่ง ...มันเกิดตรงไหนมันก็ดับตรงนั้นแหละ ไม่ต้องไปหาไกลหรอก

ดูตรงนั้น มันเกิดที่ความคิดก็ดับที่ความคิด มันเกิดที่อารมณ์ก็เห็นความดับไปที่อารมณ์ มันเกิดที่หูก็ดับที่หู มันเกิดที่รูปที่ตา มันก็ดับที่ตา ...ไม่ต้องไปหาที่ดับเลย มันเกิดตรงไหนมันก็ดับตรงนั้น

เห็นความเกิดความดับในที่อันเดียวกันนั่นแหละ ง่ายดี ใกล้ดี แนบชิดติดใจอยู่ตรงนั้นตลอดเวลา ...ให้การรู้การเห็นมันแนบชิดอยู่อย่างนั้น...ในขันธ์ ...ไม่มีอะไรเกินกว่าความดับไป

แล้วก็อยู่ที่แค่รู้แค่เห็น...เห็นความดับไป เห็นการเกิดขึ้น เห็นความดับไป รู้เห็นอยู่ ...ถือว่าเป็นความรู้ ที่ว่า Knowledge ที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ...ท่านให้รู้อย่างนี้ จึงจะเรียกว่าปัญญา

ไม่ใช่รู้ไปเรื่อยเปื่อย เห็นไปเรื่อย...คนนั้นเป็นยังไง เขาภาวนายังไง เขาได้ผลยังไง  จับกลุ่มสุมหัว คุยๆๆๆ แลกเปลี่ยนความเห็น คุยๆๆๆ เผื่อจะได้เอามาเก็บไว้ขึ้นหิ้ง แล้วเอามาเปิดอ่านทีหลัง อะไรอย่างนี้

เพราะนั้น ความรู้พวกนี้มันเป็นแค่สีสัน มันเป็นแค่...เขาเรียกว่ายาชูกำลังเท่านั้นน่ะ มันไม่ใช่ความรู้ที่จะพาให้หลุดให้พ้นโดยตรง

เพราะนั้นความรู้ที่จะพาให้หลุดให้พ้น หรือพาให้ใจเกิดความแยบคายถอดถอนนี่ คือความรู้เห็นเป็นไตรลักษณ์ ...คือรู้ไปตรงนี้ ต่อหน้ามันนี่ อะไรเกิดตรงนี้แล้วก็ดับอยู่ตรงนี้ๆ

ไม่มองไกลไปกว่านี้ ไม่เห็นอะไรไกลกว่านี้ เห็นแต่เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ ต่อหน้านี่...ปัจจุบันแล้วก็ดับๆ ...นี่ มีความรู้อันเดียวอันนี้ ปัญญาญาณสอดส่องอยู่ในที่อันเดียว

พอเริ่มจะคว้าเริ่มจะหา ปุ๊บ ทัน...ก็ดับ เห็นความดับไปตรงนั้น ...อย่าปล่อยให้มันลอดช่องออกไป มันคอยแต่จะลอดช่อง ...หาอะไรลอดไม่ได้ กูก็จะต้องเจาะรูให้มันลอดไป 

เนี่ย ใจที่มันไม่รู้ มันชอบหา ...อยู่เฉยๆ นี่ รู้อย่างเดียว นั่งดูนี่สักเดี๋ยวก็... “จะรู้อะไรดีว้า จะพิจารณาอะไรดีว้า” เห็นมั้ย มันเริ่มแล้ว ตั้งแต่ยังไม่มีอะไรจะรู้ มันเริ่มหาแล้ว 

ดูสิ ให้รู้อยู่นี่ ให้รู้อยู่กับรู้...ไม่เอา ...จะหาอะไรมารู้ดีว้า ...นี่ มีราคะรู้ว่ามีราคะ ไม่มีราคะรู้ว่าไม่มีราคะ ...มันไม่ยอมรู้ไม่มีราคะ มันไม่ยอมรู้ไม่มีโทสะ 

มันจะเอาแต่อัตตามาดู ...ก็มันยังไม่มีอัตตาอะไรที่มันเป็นตัวชัดเจนขึ้นมา ก็แปลว่าขณะนั้นมันว่างจากการปรุงแต่ง

คือนักมวยมันยังมีพักยกใช่มั้ย มันไม่ใช่ชกๆๆๆ จนแปดสิบปีแล้วกูตายก็ลงเวที...มันก็มีพัก ...จิตบางครั้งบางขณะมันก็เป็นอย่างนั้น คือมันยังรื้อฟื้นไม่เจอ มันก็ต้องรอเซ็ทตัวก่อน

แต่ถ้าเดินไปแล้วตาเห็น หูได้ยินนี่ ...มันมาเซ็ทให้ ปั๊บเลย ขึ้นเลย “ทำงี้ได้ไง ทำไมถึงพูดอย่างนี้” ...นี่ มาแล้ว มันเซ็ทตัวแล้ว มันก็ชัด

แต่พออยู่อย่างนี้ มันไม่มีปัจจัยมาเร้าให้แปรปรวนมาก ...บางทีจิตมันก็อยู่แบบ...ยังไว้แต่ลมหายใจเข้าออก  ใจมันก็เกิดความราบเรียบ จิตไม่ปรุงแต่ง หรือว่าจิตสังขารยังไม่เกิด

แต่ไม่ได้หมายความว่ามันตายนะ ...คือกูพักยก  เดี๋ยวได้ระฆังปุ๊บ เป๊งปุ๊บ กูต่อยเลย ต่อยแบบไม่มีกรรมการด้วย...มวยมั่ว เข้าใจป่าว 

ก็เอาจนกว่านักมวยมันตาย คือจิตตาย นั่นแหละสบาย ... จิตตาย...ใจไม่ตาย ...จิตปรุงแต่งมีวันตาย...ดูไปจนกว่ามันจะตายน่ะ ตายจากการปรุงแต่ง 

ที่มันไม่ตายเพราะมันคิดว่าจะมีถ้วยรางวัล มันจะเอาแชมป์ ...คือความมุ่งมั่น ...ไอ้ความมุ่งมั่นน่ะคือความหมายมั่น ...ไอ้ความมุ่งมั่นหมายมั่นนั่นน่ะคือตัณหา เป็นแรงผลัก ...จะเอาแชมป์รุ่นไหน 

มันก็จะเอาให้ได้สามสถาบันน่ะ นี่...มันไม่พอหรอก จนกว่ามันจะตายน่ะ ...ความทะยานไปอย่างนั้น ความค้นหา ความแสวงหา ความไม่รู้จักอิ่ม ความไม่รู้จักพอ นี่ มันแอบอยู่ภายในของทุกดวงจิตดวงใจ  

เพราะนั้นดวงจิตดวงใจมันเลยกลมกลืนกัน แยกไม่ออก...อันไหนเป็นจิต...อันไหนเป็นใจ  อะไรก็ว่าใจเราๆ คิดไป ...ไอ้ที่ไปน่ะจิต ไอ้ที่อยู่น่ะใจ

จิตผู้ไป...ใจผู้อยู่  จิตรู้ไป...ใจรู้อยู่ ...มันคนละอัน คนละอาการกัน ...ไอ้จิตน่ะหลากหลายมหาศาล ไม่มีประมาณ ...แต่คำว่าไม่มีประมาณตรงนี้นี่ คนละความหมายกับจิตอัปปมาโน ใจอัปปมาโนนะ 

ไอ้ไม่มีประมาณตรงนี้คือ...มันช่างฟุ้งซ่านได้ล้านแปดเรื่อง ไปได้หมด นี่เขาเรียกว่าหลากหลายไม่มีประมาณสีสันแต่งเติม

แต่ใจมีใจเดียว ไม่ไปไม่มา ไม่ซ้ายไม่ขวา ไม่หน้าไม่หลัง ไม่บนไม่ล่าง ไม่มีเฉียงไม่มีแอบ ...ซึ่งต่อไปไม่ใช่แค่ซ้ายแค่ขวาแล้ว มันชัด ...ต่อไปแค่ผิดไปหนึ่งลิปดาหนึ่งองศา พั่บเลย ทันเลย...นั่น มหาสติ

ใจมันก็สว่างอยู่ภายใน จนมันสว่างอยู่ภายในแล้ว...ต่อไปไม่มีในไม่มีนอกแล้ว มันทะลุ...ขันธ์น่ะ ...เห็นขันธ์น่ะเหมือนเมฆ เหมือนม่าน เหมือนหมอก

ให้ความหมายกับขันธ์...ก็แค่ม่านเมฆ ม่านหมอก พยับแดดเท่านั้นเอง...งั้นๆ พยับนี้กับพยับนี้ พั่บ หาย ไม่มีค่าอะไร จับต้องไม่ได้ ...เป็นมายา 

เป็นสิ่งปรุงแต่ง เป็นเครื่องปรุงแต่ง เป็นเหมือนน้ำปลา น้ำตาล พริก หอม กระเทียม ยังไม่ได้มีความหมายอะไร ...มันเป็นอย่างนั้น มันไม่มีอะไรหรอก

สำคัญที่ใจ สำคัญที่รู้ที่เห็น ไม่สำคัญที่สิ่งที่ถูกรู้สิ่งที่ถูกเห็น ...เพราะนั้นไอ้ที่ถูกรู้ ไอ้ที่ถูกเห็นนี่...อย่าไปเลือก ...หรือไอ้สิ่งที่ถูกรู้สิ่งที่ถูกเห็นนี่...ช่างหัวมัน มันไม่ใช่โคตรพ่อโคตรแม่เราหรอก

มันจะมามันก็มา มันจะไปมันก็ไป มันจะเกิดมันก็เกิด มันจะไม่เกิดก็ไม่เกิด  ไม่สามารถจะไปควบคุม หรือว่าไปเลือก หรือไปคัดสรรมันได้ ...ไม่ต้องคัดสรร

รู้เข้าไว้ เห็นเข้าไว้ ตั้งไว้ที่นั่นน่ะ  ยืนกระต่ายขาเดียว ในที่อันเดียวตรงนั้น  …เหมือนตาเห็น พวกนี้ กิเลสกองนี้ นี่ก็กิเลสตัวนี้ นี่ก็ขันธ์กองนี้ มันก็เห็นได้หลากหลาย

แต่ตานี่มีตาเดียว มันเห็นอยู่อันเดียว มีผู้รู้ผู้เห็นอยู่อันเดียว ...แต่สิ่งที่มันเห็นนี่ แล้วแต่ว่าขันธ์มันจะสำแดง หลากหลาย 

มันก็เป็นแค่สิ่งอะไรวูบวาบแค่นั้น ...สุดท้ายก็วาบ กระจาย สลาย แตก ดับ สิ้น หมด สูญ ไม่เหลือ ไม่คงอยู่ หาตัวตนไม่ได้ จับต้องไม่ได้

ใจมันเรียนรู้อย่างนี้ซ้ำซาก รู้เห็นซ้ำซาก ซ้ำซากๆๆ ...เห็นกายอันเก่า จิตอย่างเก่าน่ะแหละ ซ้ำซากๆ ...มันมายังไงก็ดับยังงั้น มึงมายังไง มึงก็ดับ

มึงจะมาซ้ายก็ดับ มึงจะมาขวามึงก็ดับ มึงจะมาบนมาล่าง มึงเกิดซ้ายเกิดขวา เกิดหน้าเกิดหลัง เกิดมากเกิดน้อย เกิดนานเกิดช้าเกิดเร็ว เกิดแบบหยาบ เกิดแบบละเอียด เกิดแบบประณีต ...มึงก็ดับ

มันเห็นซ้ำซากอย่างนี้ ขันธ์อันเดิมนั่นแหละ เรียนรู้ขันธ์อันเดิมน่ะแหละ กายอันเดิม ลักษณะของการปรุงแต่งกายแบบเดิม ลักษณะการปรุงแต่งของจิตแบบเดิม...คิด จำ นึก รู้สึก

ผัสสะก็ผัสสะแบบเดิม คือเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้รส กระทบเย็นร้อนอ่อนแข็ง ...แต่ว่าไอ้เหตุที่ให้เกิดเย็นร้อนอ่อนแข็ง หรือรูปที่เห็นเสียงที่ได้ยินแปรเปลี่ยนไป 

แต่ว่าก็เห็นอันเดิม รู้อันเดิม ได้ยินอันเดิม ได้กลิ่นอย่างเดิม ...ดูลงไป ซ้ำลงไปที่เก่านั่นแหละ ในขันธ์อันเก่า ในการรับรู้กับกะลาต่างๆ 

ทั้งกะลามันเอง ทั้งกะลาที่มันกระแทกกระเทือนกระทบกัน ...ไม่มีกะลาไหนดีกว่ากะลาไหนหรอก ไม่มีกะลาไหนถูก ไม่มีกะลาไหนผิด ...มันก็แค่อะไรมาครอบไว้ แค่นั้นน่ะ

อะไรมาครอบ ...ซาก วิบากขันธ์ ซากอกุศล ซากกุศล คือวิบากของกุศล กับวิบากของอกุศล หรืออัพยากฤต ...มันก็ก่อเป็นซากนี่มาครอบ

ถ้าไม่เข้านิพพานนะ มันก็ไม่เหลือเหมือนกัน ดับเหมือนกัน ไม่เหลือ ...มันมีแค่ให้หลอกตาอยู่แค่ชั่วคราว แล้วมันก็สูญหายไป 

แต่ใจไม่สูญ ใจมาเกิดใหม่ ...มันหวงแหนกบ กบมันตัวใหญ่ มันก็กระโดดไปหากะลาใหม่มาครอบมันไว้ ...เหมือนปูเสฉวน 

แล้วก็หาแต่ไอ้ที่ดีๆ ด้วยเพราะมันรู้มาก ไอ้คนไม่รู้มันก็หาอะไรที่มันไม่ดีมาครอบ ...มันก็เป็นอากาศเหมือนเดิม มันก็ซ้ำซากอยู่อย่างนั้น

จนกว่าใจภายใน มันจะรู้มันจะเห็น...ด้วยญาณ ด้วยปัญญาญาณ ด้วยความเป็นกลาง ด้วยความที่เท่าทัน ที่จะเข้าไปอิงแอบแนบชิดหรือเกลือกกลั้ว หรือแม้แต่เข้าไปแตะ

มันทัน ...ทันจนถึงขั้นขาดออกจากกัน ไม่เป็นเนื้อหนึ่งใจเดียวกัน ระหว่างใจ...กับขันธ์ ...มันก็เกิดการแยก 

ไอ้การแยกตัวออกมานั่นแหละคือหลุดพ้น ...มันหลุด มันพ้น จากการเข้าไปวนเวียนในขันธ์ ...เพราะอะไร ...เพราะมันเห็นสาระในขันธ์ไม่มี


 (ต่อแทร็ก 5/25  ช่วง 2)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น