วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2558

แทร็ก 5/19 (2)


พระอาจารย์
5/19 (540915C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
15 กันยายน 2554
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ :  ต่อจาก แทร็ก 5/19  ช่วง 1

พระอาจารย์ –  แต่พวกเรามักจะติดนิสัยของการทำ การหา ...ก็ต้องละความคุ้นเคยเดิมนี้ ... เพื่ออะไร ...เพื่อปรับสติ สมาธิ ปัญญา ให้เป็นสัมมาสติ เป็นสัมมาสมาธิ เป็นญาณทัสสนะ 

ไม่ใช่รู้เห็นอย่างที่เราต้องการรู้ต้องการเห็น ...แต่มันเป็นการรู้เห็นตามความเป็นจริงที่ปรากฏ นี่เรียกว่าญาณทัสสนะ ...ต้องปรับการปฏิบัติทั้งหมดเพื่อให้กลับมาเป็นสัมมาญาณะ คือสัมมาทิฏฐิ  

ไม่งั้น การปฏิบัติมันจะไพล่ไปเป็นมิจฉาโดยไม่รู้ตัว มันจะมีมลทินเข้ามาแทรก คือความอยาก จนกลายเป็นการปฏิบัติเพื่อให้เกิดความอยากรู้อยากเห็น อยากมีอยากเป็น อยากไม่มีอยากไม่เป็น...โดยไม่รู้ตัว  

แล้วมันจะถือเอาการปฏิบัติกระทำนั้น...เป็นตัวเป็นตน เป็นมานะ เป็นอัสมิมานะ  เป็นเรา...เปรียบเทียบกับเขาขึ้นมา ...นี่ ไม่รู้ตัว

แต่ถ้านึกหรือจำได้ หรือเคยได้ยินมาด้วยสุตตะ ด้วยจินตา  มันก็จะเป็นตัวมาเตือนว่า มรรคคืออะไร  ...อาศัยเตือนด้วยสุตตะ จินตา เตือนว่าแค่รู้แค่เห็น ไม่ใช่หา ไม่ใช่ทำ 

เบื้องต้นต้องเตือน...ด้วยสุตตะ ด้วยปริยัติ ด้วยจินตา ความเคยเข้าใจ หรือเคยผ่านมาก่อน  มันเคยทำ เคยเจริญมา เคยอยู่เฉยๆ แล้วดูมัน ...มันเคยมาก่อน 

ก็น้อมมาเตือน ...เพื่อให้กลับมาอยู่ในองค์มรรค เพื่อทำมรรคให้แจ้ง ให้แจ้งในมรรค ให้ชัดเจนในมรรค

ไม่ไปอ้อยอิ่งอ้อยสร้อยกับความคิดความปรุง หรือการกระทำที่กอปรด้วยเจตนาเป็นกุศลใดๆ ก็ตาม หรือมันคิดว่าเป็นกุศลใดๆ ก็ตาม ที่ดีกว่า เลิศกว่า ประเสริฐกว่า เร็วกว่า

เตือนบ่อยๆ เพื่อจะอยู่กับปัจจุบันจริงๆ รู้แล้วก็เห็น ความเห็นจะทำให้ความรู้ต่อเนื่อง ...รู้ว่าหลง เผลอแล้ว เพลินแล้ว ไปแล้ว คิดแล้ว ...เนี่ย รู้ก่อน สติ ทำความต่อเนื่อง

ให้มาเห็นกายต่อเนื่อง อยู่กับกายไป เห็นกายไป เห็นอาการทางกายไป เป็นก้อน ไม่เป็นใคร ...เห็นกายไป มีเกิดๆ ดับๆ ข้างใน เดี๋ยวตึง เดี๋ยวไหว เดี๋ยวนิ่ง เดี๋ยวขยับ ดูไป เห็นไป เป็นกิจวัตร

เพราะเดี๋ยวมันก็เพลินอีก เดี๋ยวมันก็ละทิ้งงานอีก ละทิ้งหน้าที่ยามอีก ชั่งมัน ...อ่ะไปอีกแล้ว รู้ใหม่ นี่ สติเกิด เห็นต่อ เห็นกายต่อ สัมมาวายาโม พากเพียร ทำแบบเดิมนี่แหละ เจริญแบบเดิมนี่แหละ

ไม่มีอะไรเร็ว ไม่มีอะไรช้ากว่านี้แล้ว  ไม่มีอะไรดี ไม่มีอะไรผิด ไม่มีอะไรถูกกว่านี้แล้ว ...มันได้แค่เนี้ย 

อย่าไปเพ้อเจ้อกับความคิด มีชีวิตเพื่อรอคอยข้างหน้า มีชีวิตเพื่อธรรมที่จะถึงข้างหน้า ฝันหวาน ...ให้เห็นความสลายของฝันไป เป็นขณะๆ ไป มันจะได้หายเพ้อเจ้อไปกับเงาของจิต

ไม่รู้อะไร ไม่เห็นอะไร ...ก็เห็นกายไว้ รู้กายไว้ รู้กายที่ไม่เป็นกาย รู้กายที่เป็นแค่ความรู้สึก รู้กายที่เป็นแค่ก้อนๆ เป็นกอง เป็นก้อน เป็นทึบ เป็นตึงๆ เป็นมวลๆ เป็นกองหนึ่งของอะไรก็ไม่รู้ 

นี่ ดูไป ให้นานให้เนื่อง ตามกำลัง ...หลงใหม่ ก็ชั่งมั่น รู้ใหม่  หลงอีก รู้ใหม่ ชั่งมัน ทำอย่างนี้ อย่าเบื่อ ความเบื่อมันจะเกิดขึ้นตามมา...จากที่เราหาอดีตหาอนาคตแล้วยังไม่เจอ มันจะเบื่อปัจจุบัน มันเพ้อเจ้อ

เผลอเมื่อไหร่ก็รู้เมื่อนั้น รู้เมื่อไหร่ก็เห็นต่อเนื่องไปตามกำลัง แค่นี้แหละ ได้คุณค่าสูงสุดแล้ว ...คุณค่ามันสูงสุดที่ตรงนี้ ไม่ใช่เวลาใดเวลาหนึ่ง วันไหนวันหนึ่ง สภาวะใดสภาวะหนึ่งโดยรอบ

ไม่ต้องห้ามหลงไม่ต้องห้ามอะไร มันหลงเมื่อไหร่ก็รู้เมื่อนั้นน่ะ รู้ใหม่ก็นับหนึ่งใหม่ นับหนึ่งใหม่ๆ ชั่งมัน ละอดีตละอนาคตไป ...ไม่ได้อะไร ไม่เอาอะไร 

มันอยากได้อะไร อยากเอาอะไร บอกมัน ด่ามัน...ไม่เอา ไม่เชื่อ ไม่ฟัง ...นั่น มันต้องกำราบซะบ้าง อย่าไปยกยอชูหางมัน ความปรุงแต่งในธรรม ความประณีตในธรรม 

เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น รู้ไปเห็นไปในปัจจุบันนี่แหละ ก่อร่างสร้างฐานให้มั่นคงชัดเจน...ว่าปัจจุบัน  ปัจจุบันคืออะไร อะไรคือปัจจุบัน ปัจจุบันมีอะไร ปัจจุบันเป็นอะไร ไปมีไปเป็นอะไรกับปัจจุบันมันทำไม

ให้มันเห็นซ้ำซากๆ ...อะไรนั่งๆ ใครเป็นคนนั่ง มีใครนั่ง  ดูมันไป นั่งเป็นของใคร มีชื่อมั้ย ดูไป ดูตรงไหน จับตรงไหนในปัจจุบัน เห็นตรงไหนในปัจจุบัน มันเป็นไตรลักษณ์ทั้งนั้นแหละ

แม้จะไม่เห็นเกิดดับ ...อะไรมันตั้งอยู่ล่ะ มันเป็นของใครล่ะ มันมีตัวมีตนมั้ยล่ะ มันมีสัญลักณ์บ่งบอกมั้ย ว่าถูกว่าผิด ว่าคุณว่าโทษน่ะ เนี่ย ปัจจุบันไหนก็ปัจจุบันนั้น ไตรลักษณ์ทั้งนั้น

ไม่ก็วูบๆ วาบๆ ดูมันไป เห็นอะไรก็ได้ ยักย้ายถ่ายเท สลับสับเปลี่ยนหมุนวนสลับวนอยู่อย่างนั้นแหละ ...ให้ดูอาการของขันธ์ห้าตามความเป็นจริงในปัจจุบัน ซ้ำลงไปๆ ย้ำลงไป อย่าหนี

ผลมันก็คือความเป็นกลาง ความปล่อยวาง ...คำว่าปล่อยวางนี่ คือปล่อยวางเจตนาในขันธ์ ...ไม่ได้ปล่อยหรือไปดับขันธ์ แต่ปล่อยวางขันธ์ 

ปล่อยวางที่จะเข้าไปมีเจตนาในขันธ์ ปล่อยวางเจตนาที่เป็นกุศล อกุศล ในขันธ์ ...ทั้งพอใจ ทั้งเสียใจ ทั้งจะให้มี ทั้งจะให้ไม่มี ในขันธ์นั้นๆ ...จนมันเกลี้ยงน่ะ เกลี้ยง 

หมดซึ่งความอยาก-ไม่อยากภายใน หมดการทะยานไปทะยานมา ...ใจรู้ใจเห็นก็จะเข้าคืนสู่ภาวะราบเรียบ เหมือนความว่างในอากาศธาตุ มันอยู่ในภาวะปกติธรรมดาเท่านั้นน่ะ คืนสู่ความเป็นวิสุทธิจิต

เพราะธรรมชาติของใจเดิมใจแท้ ใจแรกใจต้น คือความเป็นวิสุทธิ เป็นกลาง อยู่ไหนก็ได้ ในทุกอณูของสสาร เป็นที่รองรับของทุกสรรพสิ่ง โดยไม่มีอาการไหวติงนิ่งขยับ

อย่าว่าแต่ขยับเลย นิ่งยังไม่มีเลย ...อนัตตจิต อนัตตธรรม เกินบรรยาย เกินจินตาหรือสุตตะใดๆ ที่จะไป naming หรือ meaning กับมัน

อาศัยใจเรียนรู้ปัจจุบัน เห็นปัจจุบัน จนหมดสิ้นซึ่งความสงสัยว่าปัจจุบันนี้คืออะไร ...เมื่อมันหมดสงสัยในปัจจุบันแล้วไม่ต้องถามถึงอดีตอนาคตแล้ว 

เพราะความไม่รู้ในปัจจุบันนี่แหละ เป็นเหตุให้สร้าง ให้เกิดอดีตและอนาคต ...เพราะนั้นถ้ามันแจ้งกับปัจจุบันน่ะ ไม่ต้องกลัวอดีตอนาคตแล้ว...ไม่มีหรอก 

ให้เห็นว่าอะไรนั่งในปัจจุบัน อะไรปรากฏผุดโผล่ในปัจจุบัน มันเป็นใคร มันเป็นของใคร ...ไม่ต้องคิด ไม่ต้องถาม ... ดู เห็น รู้เห็น เป็นปกติ 

เขาแสดงธรรมในตัวของเขาเอง แสดงความเป็นจริงในธรรมด้วยตัวของเขาเอง แสดงความเป็นไตรลักษณ์ด้วยตัวของเขาเอง

ไม่ต้องไปเร่งกระบวนการใดๆ กับมัน มันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยอันควร  แม้ไม่ดับ มันก็ตั้งด้วยความไม่มีความหมาย  การตั้งอยู่ก็เป็นการตั้งในลักษณะอนัตตา ไม่มีตัว ไม่ใช่ใคร ไม่เป็นของใคร

ความชัดเจนในธรรม ความลึกซึ้งในธรรม การเข้าไปยอมรับในธรรมบังเกิดเอง...เมื่อถึงพร้อมด้วยศีลสมาธิปัญญาที่พอดีกับปัจจุบัน

การปฏิบัติมันก็จะง่าย ...ไม่ใช่ของยาก ไม่ใช่ของที่จะต้องไปค้นไปแสวงหา ไม่ใช่ของที่จะต้องไปสร้างไปทำขึ้นมา ไปเรียกร้อง ไปร้องขอ

ก็จะเห็นว่าการกระทำทั้งหมดเป็นแค่ปัจจัยเบื้องต้นเท่านั้น ไม่ใช่หลัก ยังไม่ใช่หลัก ...แต่เห็น แต่ชัดเจนว่าหลักมีหลักเดียว คือกายใจปัจจุบัน 

นั่นน่ะเป็นหลัก เอากายใจปัจจุบันเป็นหลัก ไม่ออกนอกหลัก ...จนมันเชื่อ จนมันชัดเจนในหลักว่ามีหลักเดียวเท่านั้น ไม่มีหลักอื่น ไม่มีที่อื่น

ความหลุดพ้นในเบื้องต้นปรากฏเอง การก้าวข้ามความสงสัยบังเกิดเอง การเห็นกายเป็นกาย เห็นจิตเป็นแค่จิต เห็นกายเป็นแค่กาย เห็นใจเป็นแค่ใจ...บังเกิดเอง

ตั้งหลักให้ดี ที่ไหนก็ได้ ยังไงก็ได้ ...หลักกายใจ รู้กายรู้ใจ เห็นกายเห็นใจ เห็นสิ่งที่ปรากฏขึ้นที่กายที่ใจ ทุกอย่างล้วนลงในปัจจุบันเท่านั้น การปฏิบัติก็จะชัดเจนขึ้นมา

ที่มันไม่ชัด ที่มันยังสงสัย ...เพราะมันส่ายไปในอดีตอนาคต เพราะมันยังไปคาดไปหวังในอดีตอนาคต เพราะมันปฏิเสธที่ปรากฏในปัจจุบัน 

เพราะนัั้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในปัจจุบันนั้น จะร้าย จะดี จะน่าหงุดหงิด จะน่ารำคาญ จะอะไรก็ตาม จะไม่ดั่งที่เราต้องการ ไม่เป็นอย่างที่เราคาดก็ตาม...ชั่งมัน อยู่แค่รู้กับเห็นไป 

ความเข้มแข็ง ความเด็ดเดี่ยว ความตั้งมั่น เกิดเอง...จากการที่เราปฏิบัติเช่นนี้ ใจมันจะเกิดความพอดีทุกปัจจุบันไป


โยม –  พระอาจารย์เจ้าคะ ฟังอย่างนี้น่ะ มันเห็นตัวอธิบายขยายความเข้าใจในสิ่งที่พระอาจารย์ได้ถ่ายทอดออกมา  อันนี้ก็ทำเหมือนรู้เห็นในการที่มันเอาตัวเข้าใจตัวนั้นอย่างนี้

พระอาจารย์ –  ดูอาการไป มันแสดงยังไงก็รู้ไปเห็นไป ...มันไม่ได้เกิดจากเจตนานี่ ใช่มั้ย มันเป็นของมันเองใช่มั้ย


โยม –  เจ้าค่ะ

พระอาจารย์ –  เรื่องของมัน ไม่มีถูก ไม่มีดี ไม่มีร้าย ...เดี๋ยวมันก็เปลี่ยน เดี๋ยวมันก็ดับ อาการทุกอาการน่ะ เกิดตรงไหนดับตรงนั้นแหละ ...มันก็ดับ อย่าไปหมักหมมกับมัน หรือเอามันมาหมักหมมในใจ

มันหมักหมมไม่ได้หรอก เพราะอะไร เพราะมันเป็นของที่หมักหมมไม่ได้ แต่มันคิดว่าได้ ...ความเป็นจริงมันหมักไม่ได้ มันดับตรงนั้นน่ะ มันดับไปแล้ว นั่นแหละ มันก็ดับไปเลย

ให้มันเห็นอย่างนั้น ความดับไปในปัจจุบัน...บ่อยๆ จนใจมันเชื่อมั่นจริงๆ ว่ามันดับจริงๆ ในปัจจุบัน ...ดับแบบไม่คืน ฟื้นไม่มี หนีไม่พ้น หายไปแล้วไปลับไม่กลับไม่ตื่น

นั่นแหละธรรม ให้มันเห็นอย่างนั้น ให้มันเชื่ออย่างนั้น ...ให้มันเห็นความเกิดดับจนมันเชื่อเลยน่ะ ว่ามันดับจริงๆ ไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่เลย ... นี่ มันดับ 

ไม่ใช่หมายความว่าพระอรหันต์เท่านั้นถึงจะเห็นความดับได้ ... นี่ ต้องเห็นความดับไปทุกคนไป ว่าดับจริง ...เกิดจริง - ดับจริง


โยม –  ถ้ามันไม่มีทวารทั้ง ๖ ที่จะออกเป็นประตูรับรู้แล้ว ตัวสติสัมปชัญญะนั้นจะยังมีไหมเจ้าคะ

พระอาจารย์ –  มี มันก็อยู่ที่รู้เห็นน่ะ รู้เห็นกับสิ่งที่เป็นสักแต่ว่า ไม่ไปหมาย ... เห็นมั้ยเนี่ย ต้นไม้น่ะ ระหว่างพูดนี่ ฟังมานี่ ก็เห็นมาตลอด แต่ไม่เห็นรู้สึกอะไรกับมันเลย


โยม –  เจ้าค่ะ

พระอาจารย์ –  นั่นแหละ มันไม่ไปหมายกับอะไร ว่าถูกว่าผิด ว่าดีว่าร้าย ว่าจริงหรือไม่จริง เข้าใจมั้ย ...มันก็เห็นเป็นสักแต่ว่าภาพที่เห็นเท่านั้น ไม่มีอารมณ์ในสิ่งที่เห็น ไม่มีความหมายในสิ่งที่เห็น 

เพราะนั้นทวารน่ะ มันเปิดอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว ...แต่ว่าใจมันก็อยู่ที่รู้ที่เห็น ไม่เกี่ยวกัน ไม่เอามาเกี่ยวกันด้วยความไม่รู้ 



................................




วันเสาร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2558

แทร็ก 5/19 (1)


พระอาจารย์
5/19 (540915C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
15 กันยายน 2554
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ :  แทร็กนี้แบ่งโพสต์เป็น 2 ช่วงบทความ)

พระอาจารย์ –  ธรรมมันก็มีตลอดเวลา ไม่เห็นต้องหาธรรมตรงไหนเลย ทุกอย่างเป็นธรรม ทุกอย่างเป็นความจริง ทุกอย่างที่เป็นปัจจุบัน...จริงหมด

ให้ใจมาสอบทาน ตรวจทานความจริงในปัจจุบัน ก็จะเห็นคำตอบสุดท้าย หรือผลลัพธ์ของสิ่งที่มันตรวจทานในปัจจุบันนั้นว่า...เป็นไตรลักษณ์อย่างไร

การที่ใจเห็นไตรลักษณ์ หรือความเกิดความดับ ความไม่เสถียร ความแปรปรวนในตัวของมันเองบ่อยๆ มันจึงจะไปลบไปล้างความเข้าใจผิด ความเห็นผิด...ว่าเที่ยง ว่าเป็นของเรา ว่าเราเป็นเจ้าของ

ให้ใจเห็นซ้ำซาก เห็นปัจจุบันธรรมเกิดดับซ้ำซาก เท่านั้นแหละ เห็นนิดเห็นหน่อยก็เอา อะไรนิดอะไรหน่อย...มันผุดมันโผล่ขึ้นมา มันปรุง มันเริ่ม มันก่อตัว แล้วพอเข้าไปเห็นแล้วมันก็ดับไป

นั่น ดูไป แค่นี้ ไม่ต้องเอาให้วิจิตรพิสดารกว่านี้หรอก หรือจะให้เห็นว่าต้องมีอะไรประหลาดมหัศจรรย์หรือว่าเลิศเลอเพอร์เฟ็คกว่านี้หรอก 

แค่เห็นธรรมดา ความเกิดดับธรรมดานั่นแหละ นิดนึง ...อู้ย นี่แหละเหมือนแก้วแหวนเงินทองหรืออริยทรัพย์แล้ว สะสมอริยทรัพย์แล้ว

ดวงจิตดวงใจของใครผู้ใดผู้หนึ่งที่เห็นปัจจุบันธรรมเกิดดับ หรือเห็นไตรลักษณ์ในปัจจุบันเกิดดับ...ด้วยใจ ไม่ใช่ด้วยความคิด ด้วยการจำ ด้วยการอ่าน ...พระพุทธเจ้าสรรเสริญว่าสมควรแก่การเกิดมา

แล้วถ้าเห็นเกิดดับบ่อยๆ ซ้ำซากในตัวของมัน พระพุทธเจ้ายืนยันการันตี มีอานิสงส์ถึงความไม่เกิดในชาตินั้นๆ  อานิสงส์ของไตรลักษณ์นะ อานิสงส์ของปัญญาที่เห็นไตรลักษณ์นะ

ก็เห็นธรรมดา ...มันไม่ได้ประหลาดเห็นเป็นแก้วแหวนเงินทอง หรือเห็นเป็นสว่างหรือนิมิต หูย ได้นั่งคุยกับผีสางคางแดง เห็นสภาวะกระดูกแตกกระจัดกระจายเป็นใส อะไรมากมายก่ายกองปานนั้น

เห็นเกิดดับนี่ ยิบๆ ยับๆ พึ่บๆ พั่บๆ ...ระหว่างนั่ง ระหว่างฟัง นี่ มีเวทนาเกิด รู้สึกตรงนั้น เดี๋ยวก็ดี เดี๋ยวก็ร้าย เดี๋ยวก็พอใจ เดี๋ยวก็ไม่พอใจ เดี๋ยวก็สบาย เดี๋ยวก็อึดอัด ดูมันเข้าไป

เขาแสดงธรรมให้เห็นทั้งวี่ทั้งวัน อาการเกิดดับยิบยับๆ เล็กๆ น้อยๆ  เหมือนสะเก็ดถ่าน สะเก็ดไฟกระเด็น ยุบๆ ยับๆ ตุ๊บตั๊บๆ ...เนี่ย ขันธ์ห้ามันเป็นก้อนกองไฟ รูปนามกายใจนี่เหมือนกองไฟ 

แล้วมันก็มีสะเก็ดกระเด็น พร้อบๆ แพร้บๆ อยู่ตลอดเวลา ...สะเก็ดไฟเกิดๆ ดับๆ เป็นอะไร เป็นของใครล่ะ มีใครเป็นเจ้าของ เป็นคุณเป็นโทษ เป็นดีเป็นร้าย เป็นถูกเป็นผิดอะไร

นี่ถ้ามันเห็นเป็นอย่างนี้ ความหมายมั่นในขันธ์น่ะมันจะมียังไง ...ใจที่มันเห็นอาการของขันธ์เป็นแค่การเกิดดับ การตั้งอยู่ชั่วคราว การสลับปรับเปลี่ยน การย้าย การหมุน การเวียน ต่อเนื่องกันไปอย่างนี้

ไม่เห็นต้องไปปฏิบัติธรรมเพื่อแสวงหาอะไรเลย แม้กระทั่ง ไม่มีอะไร ...ก็อยู่ที่รู้ที่เห็นไป  อะไรมาก็มา อะไรปรากฏ ...กำลังรู้เห็นเฉยๆ เอ้า มีคนเขามาเรียก วุ้บ เสียงก็ปรากฏ ...หงุดหงิด

หงุดหงิดก็เห็นว่าหงุดหงิด ไม่ได้ห้ามนะ ห้ามหงุดหงิดก็ไม่ได้ห้ามนะ ก็เห็นว่าหงุดหงิด ก็แค่นั้นน่ะ ...แล้วก็เออ เดี๋ยวถ้ามันเริ่มปรุงต่อ ก็เห็นว่ามันปรุงต่อจากความหงุดหงิด 

ดูซิ พอปรุงจากความหงุดหงิด ความหงุดหงิดก็ดับ หรือว่ามากขึ้น หรือว่าน้อยลง ...ก็ดูมันไป เขาแสดงธรรม คือแสดงอาการของขันธ์เกิดๆ ดับๆ สืบเนื่องออกมา จะเป็นลักษณะไหนก็ได้น่ะ 

ขันธ์ห้า ตาหูจมูกลิ้นกายใจมากระทบกับใจ มันก็เกิดความคิด ความจำ ความรู้ ความปรุง อารมณ์ หรือกระทบแล้วไม่มีขันธ์ ...มันก็มี แล้วแต่เขาจะเป็นไปน่ะ ก็ดูความเป็นไปของขันธ์น่ะ

จะไปเอาดีเอาเด่อะไรกับมัน จะไปเอาถูกเอาผิดอะไรกับขันธ์ เราไม่ใช่เจ้าของขันธ์ ...ก็แล้วแต่ขันธ์เขาจะสำแดง แล้วแต่ขันธ์เขาจะปรากฏการณ์ใดขึ้นมา ใจมันไม่รู้อ่ะ มันจะสร้างยังไงก็ได้ ใช่มั้ย

ก็ไม่ได้อยากน่ะ ก็มันเป็นของมันเอง มันหงุดหงิด ก็ไม่ได้เลือก ไม่ได้บอก ไม่ได้เตรียมบทนี้มาน่ะ สันดานมันมาปั๊บ ...ก็รู้ว่ามี มันเป็นเรื่องของมัน เป็นเรื่องของใจที่ไม่รู้ ไม่ใช่เรื่องของเรา

ก็เรื่องของใจที่ไม่รู้ มันสร้างมันปรุง มันเม็ค (make) มันเฟค (fake) ขึ้นมาเป็นหน้า เป็นผีหลอก ...เอ้า แล้วไงๆ ...ไม่ไงอ่ะ เดี๋ยวก็ดับ ...มีอะไรไม่ดับ

หาเก้าอี้มานั่งไว้ นั่งไม่ได้ก็เอาเชือกผูกรัดไว้ด้วยคำพูดของครูบาอาจารย์...ที่มันจะยึดไว้ ตรึงไว้ ...กำลังครูบาอาจารย์จะช่วยไว้ มันจะได้ไม่สาระแนออกไป แส่ส่ายออกไป

เพราะว่าธรรมชาติของความไม่รู้น่ะ มันจะบังเกิดความรู้ที่เรียกว่าศาสดาหัวแหลมขึ้นมาแนะนำ ชักจูง “ไอ้อย่างนี้ไม่ได้การ ไม่ได้เรื่องแล้ว ถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป ตายแน่เลย ตกนรก หรือไปไม่ถึงฝั่งฝันแน่ๆ”

ให้ทันนะ ให้ทันไว้นะ ...อย่าฟัง ผีหลอกๆ ระวังผีหักคอ มันจะพาเราไปหักคอ ...บอกแล้วว่าวิญญาณน่ะ วิญญาณขันธ์น่ะ มันผีนะ ลอยไปลอยมานะ ...มันจะไปเกิดเป็นอะไรล่ะ 

มันจะไปสร้างภพสร้างชาติขึ้นมาเป็นลิเกตัวไหนไม่รู้นะ มันจะสร้างไอ้ตัวที่น่าเชื่อถือที่สุดมาให้เราเชื่อมันน่ะ อะไรก็ได้ที่มันจะชักจูงไปในทางใด ...อันไหนที่เราเท่าทันมันแล้ว มันก็เปลี่ยน 

เริ่มต้นน่ะ...อกุศลนี่ มันไม่ค่อยทำหรอก มันเห็นมันชัดน่ะ ...มันก็จะเปลี่ยนมาเป็นกุศล มันก็จะมาเป็นเรื่องของการปฏิบัติที่เลิศเลอเพอร์เฟ็ค สมบูรณ์แบบ รวดเร็ว 

แบบรถไฟฟ้าน่ะ ...ไปไหนก็ไม่รู้นะ แต่มันบอกว่ารถไฟฟ้ามาหานะจ๊ะ ก็มีรถขบวนนึง ตอนแรกก็เห็นนะว่าไปนรก ชัดเลยเขาเขียนป้ายไว้ “นรก” ...ก็ไม่ขึ้นๆ 

คนขับมันก็ฉลาด ...มึงไม่ขึ้นเหรอ กูก็กลับหน้าป้าย...ข้างหลังมันเขียนว่า “นิพพาน” มันก็เปลี่ยนหน้าป้าย ว่า “นิพพาน” มา ...เนี่ย พออันนี้ขึ้นทันทีเลย เอาดิ

ก็รถคันเก่าน่ะ แต่ติดป้ายกลับข้างใหม่ ...ก็ดูแล้วคงจะหลอกง่ายดี เนี่ย เจอคนขับรถแบบเล่ห์ลวง ล่อลวง ล่อหลอกได้ขั้นเลิศขั้นเทพน่ะ ...คนขึ้นกันเต็มรถเลยนะในโลกนี่ ทั้งที่...หูย นรกแท้ๆ มันยังขึ้นไปได้

เจอเล่ห์แบบ...มึงไม่ขึ้นเหรอๆ เดี๋ยวกูกลับป้าย “นิพพานนะจ๊ะ” ...อู้ฮู้ย อันนี้ไม่ต้องเรียกเลย กระโดดขึ้นแบบตาลีตาเหลือก กลัวตกรถ กลัวไปไม่ถึง ถ้าไม่ได้ขึ้นคันนี้ล่ะตายแน่ ไม่รอด

เพราะนั้น ก็ไม่ขึ้นน่ะ ...แน่ะ มันจะเอาอะไรมาล่ออีก ฮึ ...จะเอาอะไร ...ก็บอกว่าไม่มีอะไร ไม่ได้อะไร  

การเข้าถึงธรรมคือการเห็นธรรมตามความเป็นจริงว่าเกิดแล้วก็ดับ เกิดตรงไหนดับตรงนั้น ให้เห็นทุกปัจจุบันขณะ ปัจจุบันคือธรรม แค่นั้นแหละ แล้วก็สบาย ไม่ไป ไม่มา 

มันมาบีบแตรรอหน้าบ้านก็ไม่ไป ต่อให้เปลี่ยนคนขับแต่งเป็นพระมาก็ไม่ไป มีพระพุทธรูปติดหน้ารถก็ไม่ไป อือ เอาดิ ดูดิ๊ อะไรมันจะล่อ อะไรมันจะหลอก อะไรมันจะชวนให้ลุ่มให้หลงออกไป

ไม่ว่ามารทั้งห้าจะเป็นอะไร ขันธมาร กิเลสมาร เทวบุตรมาร มัจจุมาร อภิปุญญาภิสังขารมาร ...มารทั้งนั้นน่ะ รถด่วนพวกนี้ ไม่ว่าขบวนแรกหรือขบวนสุดท้าย ยังไงก็มาร

พระพุทธเจ้าบอก มัชฌิมาปฏิปทา ...นั่งเฝ้าประตู ลูกพ่อ ...ศีลสมาธิปัญญาอยู่ตรงเก้าอี้นั่นแหละ เอาให้แน่น ให้มันเป็นสัมมาอาชีโว ด้วยสัมมาทิฏฐิคือแค่รู้และเห็น

บากบั่น ไม่ย่อท้อ เรียกว่าสัมมาวายาโม ความเพียร เพื่อถึงที่สุด ด้วยการดำริออกจากกาม ออกจากการเกิดตาย ไม่จบไม่สิ้น ...สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ตั้งมั่น มั่นคง ไม่หวั่นไหวกับลิเกหลงโรงอีกต่อไป 

มรรคก็อยู่ตรงนี้ มรรคทั้งแปดจะเอาข้อไหนล่ะ ก็อยู่ตรงปัจจุบัน รู้อยู่เห็นอยู่นี่แหละ ...ไม่ไปวิ่งขึ้นรถขบวนไหนแล้ว ไม่มีอ่ะ ... ก็เห็นรถเป็นแค่...อาการของขันธ์ที่ปรากฏในปัจจุบันเท่านั้น 

มันเป็นเพียงแค่นั้น เป็นแค่กองสังขาร เป็นแค่สังขารขันธ์ เป็นแค่สังขารจิต เป็นแค่สังขารธรรม เป็นแค่สิ่งหนึ่ง เป็นแค่ปรากฏการณ์หนึ่ง ...ซึ่งก็ไม่ค่อยน่าเลื่อมใสสักเท่าไหร่แล้ว

เหมือนก้อนดิน เหมือนต้นไม้ ที่มันตั้งอยู่ระเกะระกะดาษดื่นน่ะ ไม่เห็นต้องวี้ดว้ายกระตู้วู้กับมันเลย มันจะเกิดขึ้นใหม่ หรือมันจะล้มไป ก็ไม่เห็นเดือดร้อนเลย 

ดีใจมั้ย เสียใจมั้ย ...เฉยๆ ...เพราะอะไร...เพราะมันไม่ใช่เรื่องของเรา  เพราะอะไร...เพราะมันเป็นเรื่องธรรมชาติของมัน ไม่ใช่เพราะมันเป็นความคิดของเรา ไม่ใช่เพราะมันเป็นอารมณ์ของเรา 

แล้วก็ไม่ใช่เพราะมันเป็นสภาวะของเรา ไม่ใช่เพราะมันเป็นสิ่งที่เราเห็น ไม่ใช่เพราะมันเป็นสิ่งที่เราเป็น ...เนี่ย มองจนมองเห็นเหมือนเป็นธรรมชาติที่รายรอบล้อมรอบเราน่ะแหละ

แก้ว...มันจะตก จะแตก ถ้าเป็นแก้วในห้าง มันก็ไม่เดือดร้อนหรอก ถ้าแก้วในบ้านเราน่ะเดือดร้อน ...ลูกคนอื่นเจ็บไข้ได้ป่วย เห็นทุกวัน ก็ อือ ไม่เดือดร้อน  อย่าให้เป็นลูกเรานะ เดือดร้อนขึ้นมาเลยเชียว 

ก็คนเหมือนกันน่ะ ทำไมลูกเราถึงเดือดร้อนล่ะ ทำไมลูกคนอื่นไม่เห็นเดือดร้อน หรือเดือดร้อนนิดนึงไม่เท่ากับลูกเรา มันก็คนนี่ เหมือนกัน มันก็ต้นไม้ต้นนึง

เนี่ย เมื่อใดที่เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เมื่อใดที่เห็นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมตามธรรม ...อุปาทานไม่เกิด ทุกข์อุปาทานไม่เกิด 

เหลือเพียงแค่ทุกขสัจ หรือความเป็นจริงในโลก ที่มันเป็นอย่างนี้ ...ไม่เกิดก็ดับ ไม่ดับก็ตั้งอยู่ ตั้งอยู่ไม่มากก็น้อย มันมีอยู่อย่างนี้ ...เป็นธรรมดา

ใจที่แค่รู้แค่เห็นความจริงในปัจจุบันเช่นนี้เสมอๆ มันจะสะสมปัญญาญาณ ญาณวิมุติ ญาณทัสสนะ ...จนเป็นญาณวิมุติทัสสนะ ก็บังเกิดความหลุด ความพ้น 

หลุดพ้นออกจากความหมายมั่นในรูปธรรมนามธรรม...ภายในและภายนอก  ภายในคือสมมุติว่าของเรา ภายนอกคือสมมุติว่าของเขา

ใจมันก็จะถอน จะหลุด...ออกจากอุปาทานในรูปธรรมนามธรรมทั้งหลายที่รายล้อมใจ 

ความบริสุทธิ์พุทโธ ความหลุดพ้นเป็นสมุจเฉท ความไม่เข้ากลับไปเกลือกกลั้วกับขันธ์ มันก็บังเกิดด้วยความรู้แจ้ง ...เป็นความรู้ที่แจ้งในธรรมทั้งปวง

มันไม่ใช่ว่ามันต้องไปหาธรรมอันนี้ หรือต้องไปสร้างความเห็นนี้ด้วยการกระทำใดๆ ...แต่อยู่ที่กลับมาทำหน้าที่ยามที่ดี

เห็นมั้ย ถ้าบอกว่าให้กลับมาทำหน้าที่ยามที่ดี มันไม่ได้ให้ทำอะไร หรือไปสร้าง หรือไปหาอะไรเลย

 (ต่อแทร็ก 5/19  ช่วง 2)



แทร็ก 5/18 (2)


พระอาจารย์
5/18 (540915B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
15 กันยายน 2554
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ :  ต่อจาก แทร็ก 5/18  ช่วง 1

พระอาจารย์ –  เอาให้สติมันนั่งเฝ้ายามจนตายคาประตูนั่นแหละ  ดูซิ มันจะมีอะไร ...ทั้งหมดน่ะเป็นของว่างเปล่าหมดแหละ เป็นแค่ภาพมายา หรือมายาของจิต หรือเป็นพฤติจิต พฤติขันธ์เท่านั้น

เอาให้มันเห็นได้ขนาดนั้นเลย...ว่ารู้แจ้งเห็นจริงในธรรมทั้งปวง ไม่ไปไม่มาอีกแล้ว ...เป็นที่อันเดียว เกิดตายที่เดียว ไม่มีที่ให้เกิดที่ให้ตายหลายที่

เห็นมั้ย ถ้าลุกจากตรงนี้ไป หน้าประตูไปนี่ มันก็ไปตายตรงนั้น ไปตายกับเขา ไปตายกับสัตว์นั้น บุคคลนั้นๆ ความเชื่อนั้นๆ ความเห็นนั้นๆ อารมณ์นั้นๆ ความรู้สึกนั้นๆ สภาวะนั้นสภาวะนี้ 

ตายหมดน่ะ ก็ไปเกิดตายกับเขาน่ะ มันมีที่เกิดที่ตายเยอะแยะนะ ...เอาให้มันตายที่เดียวเกิดที่เดียว คือนั่งอยู่หน้าประตู เอามันจนตายน่ะ 

จึงรู้ว่าชีวิตน่ะ มันมีชีวิตเดียว ...กายเดียวจิตเดียว เอโกธัมโม เอกังจิตตัง ธรรมอันเดียว จิตอันเดียว เกิดตรงไหน ตายตรงนั้น ไม่ไปไม่มา ไม่ไปหาไม่ไปเพิ่มไม่ไปลดอะไรน่ะ

จึงสมที่เรียกว่าผู้ปฏิบัติธรรม ...ไม่ใช่ผู้หาธรรม ไม่ใช่ผู้แสวงธรรม ไม่ใช่เป็นผู้จัดสรรธรรม ...แต่เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อรู้เห็นธรรมตามความเป็นจริง 

ปัจจุบันคือใคร ปัจจุบันของใคร ปัจจุบันเที่ยงมีหรือไม่มี ปัจจุบันเป็นหรือไม่เป็น ...นั่นแหละ มันมาเห็นความเป็นจริงในปัจจุบัน ทั้งหมดน่ะคือปัจจุบัน...เท่านั้นน่ะ ไม่มากแล้วก็ไม่น้อย ...มันพอดี 

ถ้ามันปรากฏ เดี๋ยวนี้ๆๆ มันมีอะไร...มีความพอดี ...เสียง พอดี ไม่มีมากกว่านี้ แล้วก็ไม่น้อยกว่านี้ ...ถ้าไม่พอดี แปลว่าอดีต แปลว่าอนาคต แปลว่าอุปาทานทุกข์...มาแล้ว จะมาแล้ว กำลังจะมาแล้ว 

แล้วเดี๋ยวจะไปแล้ว ...ไปยังไง มือ...ไป ตีน...ไป ปาก...ไป คิด...ไป อารมณ์...ตามไป ไปแล้วไปลับ ไม่กลับไม่ฟื้น ...ไปเลย ถูกไล่ออกจากยาม นั่นแหละไปเลย

ทั้งหลายทั้งปวงนี่ ต้องมาเห็นอยู่กับปัจจุบัน...เท่านั้น ...เพราะความเป็นจริงมีแค่ปัจจุบัน 

ความเป็นจริงไม่ใช่ที่บ้าน ความเป็นจริงไม่ใช่ที่ทำงาน ... ความจริงคืือ...เดี๋ยวนี้ กระดูกทับก้นน่ะรู้มั้ย อากาศร้อน ตัวเรานี่รู้มั้ย มันมียังไง มันเป็นยังไง

นี่ ท่านให้อยู่ “ตัตถะ...ตัตถะ” ...แล้วจะเข้าใจในที่อันเดียวนี้ ปัจจุบันนี้ ...ว่าทั้งหมดนี่คือทุกขสัจ 

เข้าใจคำว่าทุกขสัจมั้ย ...คือสิ่งที่ปรากฏตั้งอยู่ในปัจจุบัน ท่านเรียกว่าทุกขสัจ ...กายก็เป็นทุกขสัจ รูปที่เห็นก็เป็นทุกขสัจ เสียงที่ได้ยินก็เป็นทุกขสัจ โผฏฐัพพะที่ล้อมรอบก็เป็นทุกขสัจ 

แต่ถ้ามีว่า “ถ้ามีเสียงเพลงหน่อยล่ะดีเลย” นี่ ทุกข์อุปาทาน เห็นมั้ย พอมันเกินจากเดี๋ยวนี้นะ “ถ้ามีเสียงนะ ดีหน่อย จะดีเลย” 

เนี่ย มายาของความไม่รู้มันแล่นออกไปอนาคต มันก็สร้างความหมายมั่นข้างหน้า ว่าจะเป็นสุขขึ้น ...นี่เรียกว่าทุกข์อุปาทานเกิด เกิดจากการออกจากความพอดีในปัจจุบัน

“นี่ถ้าฝนตกหน่อยก็ดี” นี่อุปาทานเกิด ...ก็มันไม่ตกน่ะตอนนี้  แต่มันไม่พอใจ ตัณหาเกิด วิภวตัณหาเกิด มันก็ปรุงน่ะ ปรุงขึ้นมาเป็นภาพ เป็นมโนวิญญาณ เป็นมโนสังขาร 

เห็นมั้ย อวิชชา...ปัจจยาสังขารา ปัจจยานามรูป ปัจจยาผัสสะ ปัจจยาตัณหา ปัจจยาอุปาทาน

นี่ เริ่มก่อนน่ะ “ร้อนจัง” ...ปรุงแล้ว หาแล้ว จะมีแล้ว หาทางมีแล้ว หาทางเป็นแล้ว ...หาทางเป็นอะไร เป็นสุข...วงเล็บทุกข์อุปาทานทับ ...แต่มันไม่รู้ มันก็เรียกว่าสุข มันเรียกอย่างเดียวว่าสุข มันจะหาสุข

ถ้ายังไปไม่ได้ มันก็เป็นแค่ปรุงฟุ้งซ่าน ...พอไปได้ปั๊บ กายสังขารตาม ขาก็ก้าวเดินไป ขึ้นรถขับไป ...เนี่ย กายสังขารมา พาไป ในภพที่คาดไว้ล่วงหน้าในใจ เพื่อจะหาสิ่งที่ดีกว่านี้ 

ชาติ ชรา พยาธิ ก็ไปปรากฏตอนที่เข้าไปเสวย สุข-ทุกข์เกิดตามมา เป็นอุปาทาน

แต่มันลืมไปหมดว่าปัจจุบันนี้ เป็นสิ่งที่เลือกไม่ได้ ไม่สมควรเลือก เพราะเลือกไม่ได้ ...นี่ มันเลยไม่เห็นอริยสัจ เลยไม่เห็นทุกขสัจ ว่าทุกสิ่งนั้นเป็นทุกขสัจอย่างไร มันเลยไม่เข้าใจมรรค

ที่พระพุทธเจ้าบอกว่าให้รู้ทุกข์...ทุกข์ให้รู้ คือทุกขสัจ ไม่ใช่ทุกข์อุปาทานอย่างเดียว ...คือสิ่งที่อยู่ตรงนี้ เดี๋ยวนี้ๆ ทุกอย่างนี่คือทุกขสัจ ท่านให้รู้ นี่เรียกว่ามรรค

แต่ด้วยใจที่ไม่รู้ภายใน มันเกิดความไม่พอใจเดี๋ยวนี้ปัจจุบันนี้ ...มันอยาก มันไม่อยาก 

เนี่ย ระหว่างที่เรารู้กับทุกขสัจ แล้วมันเห็นอยู่ในมรรคนี่ มันก็จะเห็นว่า ไอ้ใจภายในที่ไม่รู้นี่ มันยังปรุง หาทาง ...มันก็จะเห็นตรงนี้ปรากฏขึ้นมาเป็นสมุทัย

ก็ถ้ามันอยู่เป็นยามน่ะ มันจะมีตรงไหนที่มันจะไม่เห็น ...นอกจากไม่เป็นยาม คือไม่มีมรรค ไม่อยู่ในมรรค มันก็ไม่เห็นว่าอะไรมันเกิดตอนไหน ...นี่ มันต้องเห็น

ถ้าเห็นแล้วจะเชื่อมันได้อย่างไร ใช่มั้ย มันก็ละ ...พระพุทธเจ้าบอกให้ละ ก็คือ จาโค ปฏินิสสัคโค สละ วาง ปล่อย ดับ ตัด ให้หลุดให้พ้นจากมัน ...นี่ ตัณหา ท่านไม่เอาไว้เลยนะ อะไรที่มันผุดมันโผล่ขึ้นน่ะ

เพราะนั้นบางครั้งพวกเราไม่เห็นหรอกว่ามันอยากหรือไม่อยาก แต่มันกลายมาเป็นความคิด มันกลายมาเป็นอารมณ์ คือมันผสมเสร็จมาแล้ว นี่ยังไม่รู้เลยว่ามันอยากหรือเปล่า หรือไม่อยาก 

แต่บอกไว้เลยว่า เนี่ยแหละเป็นผลสืบเนื่องจากความอยากและไม่อยาก ...แต่ปัญญายังไม่ละเอียดพอ มันไม่เห็นความอยากหรือไม่อยาก มันก็ว่าเป็นแค่ความคิด 

นั่นแหละ โคตรมัน แต่มันออกมาเป็นเหลน เอ้า ก็เลยออกมาเป็นรูปร่างของความคิด ...คือมันปรุงมาจนเรียบร้อยแล้ว ...แล้วยังไง ...ก็ดูเฉยๆ อยู่เฉยๆ เป็นยามนี่ 

ก็จะเห็นทุกขสัจที่ปรากฏ...ตรงนี้ถือว่าเป็นทุกขสัจอีกแล้ว ...คือมันปรากฏในปัจจุบัน อะไรก็ตามที่ปรากฏขึ้นในปัจจุบันน่ะ ไม่ว่าข้างนอก ไม่ว่าข้างใน คือทุกขสัจ 

อย่าไปยุ่งกับมัน รู้ไว้ๆ ...เออ แล้วเป็นยังไง ...ไม่เป็นยังไง ก็เป็นไตรลักษณ์ สุดท้ายก็เป็นไตรลักษณ์ คือดับไปเอง ไม่มีใครดับ ไม่มีใครทำให้เกิด มันดับเอง

เมื่อใดที่อยู่ในมรรค แล้วก็รู้ทุกข์ตามความเป็นจริง มันก็จะเห็นแต่ไตรลักษณ์เท่านั้นแหละ เป็นที่สุดท้าย ...นี่คือปัญญาเกิด สบายดี นี่คือผล มันเบาๆ ไม่เห็นมีอะไรเลย สบายดี...นิโรโธ

ต่อไปเมื่อมรรคมันตั้ง มันอยู่ในทาง มันชัดเจน มันละเอียดลออ มันถี่ถ้วน มันแยบคาย มันประณีตขึ้น ...มันก็จะเห็นแค่อาการขยับนิดนึงของจิต 

ยังไม่ทันรู้เลยว่าเป็นความคิดรึเปล่า เป็นอารมณ์รึเปล่า เป็นความรู้สึกรึเปล่า เป็นความเห็นรึเปล่า ไม่รู้ ...แต่แค่ขยับ...ดับเลย

นี่ ชีวิตเรามันเลยสั้นมาก...ขณะเดียว เห็นความเกิดดับขณะเดียว เห็นจิตเกิดดับขณะเดียว ...ที่มันมาจากไอ้ใจไม่รู้นี่แหละ มันออกมาเป็นจิต

แต่ด้วยสติสมาธิปัญญาหรือว่าอยู่ในมรรค แล้วก็รู้ทุกขสัจโดยต่อเนื่อง มันก็เห็นแค่ชั่วลัดนิ้วมือ ก็เห็นจิตเกิดดับ ...ดับแล้วไปไหน ดับแล้วก็เป็นว่าง ดับแล้วก็ไม่มีอะไร ดับแล้วก็มีแต่รู้กับเห็น

เหลือแต่รู้กับเห็นๆ มีอะไรก็รู้เห็น...แล้วก็ดับ มีอะไรรู้เห็นแล้วก็ดับ ...ไม่เห็นได้อะไรเลยๆ ไม่เห็นเป็นอะไรเลย ไม่เห็นมีขั้นภูมิอะไรเลย มันมีแค่นั้น ...แค่เห็นทุกสิ่ง...เกิดตรงนั้นดับตรงนั้นๆๆ 

บางคนยังมาถาม...ไอ้รู้เห็นอย่างนี้ มันลงฐานรึยัง มันรู้เห็นตรงไหนถึงจะเป็นฐาน ...นี่ สงสัยอีกๆ คือมันเห็นหมดน่ะ มันไม่เห็นอยู่อย่างเดียวว่ามันสงสัย (หัวเราะกัน) มันยังสงสัยอีกว่าไอ้รู้เห็นนี่มันใช่รึเปล่าวะ

เป้าหมายไม่ใช่รู้เห็นอะไร...เป้าหมายคือมันรู้เห็นอะไรแล้วมันเห็นความเกิดดับมั้ย ...มันจะไปรู้เห็นที่อเวจีมหานรก หรือรู้เห็นไปอยู่ที่พรหมโลกก็ตาม ...มันเห็นเกิดดับมั้ย

จะไปสงสัยทำไมว่ารู้เห็นถูกรึเปล่า มันใช่มั้ยที่ไอ้ตรงรู้เห็นตรงนี้ๆๆ ...มัวแต่มาจับว่าจะต้องรู้เห็นอยู่ที่ฐานเท่านั้น จะไปฐานไหนถึงถูก อะไรอย่างนี้ 

มันรู้เห็นตรงไหนก็ได้ แต่มันรู้เห็นอะไรล่ะ ...มันเห็นไตรลักษณ์มั้ย มันเห็นความตั้งเองดับเองมั้ย ...มันจะไปรู้เห็นตรงนู้นตรงนี้ตรงไหน จะไปสงสัยทำไม

เคยอ่านหนังสือพิมพ์มั้ย ...สงสัยมั้ยทำไมมันฆ่ากัน ทำไมมันโกงกันได้ยังไง เสียงรถมา “ทำไมมันถึงวิ่ง” ...คือมนุษย์นี่ เอะอะ มันสงสัยไปหมด ...มันจะสงสัยไปทำไม 

“ทำไมเขาทำอย่างนั้นนะ ทำไมน้ำมันพืชมันแพง” ขนาดน้ำมันพืชแพงยังสงสัยเลย “ทำไมเขาเอาของไม่ดีมาหลอก ทำไมไอ้คนนี้มันทำกริยาอาการนี้” สงสัยอีก “พ่อแม่มันสอนมารึเปล่า” 

สงสัยทุกเรื่องนะนั่นน่ะ ...แล้วสงสัยทำไม จะไปสงสัยแล้วได้อะไร ...มันได้มรรคผลมั้ย มันจะได้มรรคผลมั้ยถ้าทำให้มันหายสงสัยน่ะ

แล้วมันจะมีเรื่องให้หายสงสัยได้กี่เรื่องล่ะ ...แค่อ่านหนังสือพิมพ์นี่ สงสัยกับสงสัย แล้วก็สงสัย “ทำไมมันไม่เป็นคนนั้น ทำไมถึงทำอย่างเนี้ย ทำไมๆๆๆ” มันสงสัยไปหมด

การภาวนานี่ ไม่ได้ทำให้มันหายสงสัยด้วยวิธีใดก็ตาม ...แต่ให้ละความสงสัยไป คือให้เห็นว่าสงสัย ให้เห็นว่าปัจจุบันนี้กำลังสงสัย ...แล้วใครล่ะที่เห็นความสงสัย  

มันจะไปอยู่ที่ไหนไม่รู้...แต่รู้เห็นว่ากำลังสงสัย นั่นแหละใจ ...มันจะอยู่ตรงไหนก็ชั่งหัวมัน แต่มันเห็นมั้ยล่ะว่ากำลังสงสัย นั่นแหละใจ อยู่ที่ฐาน ...ฐานไหนก็ไม่รู้ หาก็ไม่เห็น

ถ้าจะมานั่งหาใจน่ะ หาจนตายก็ไม่เจอ ...แต่ถ้าอยากเจอก็ให้เห็นว่ากำลังหา ถ้าไม่เห็นว่ากำลังหาก็จะหาใจไม่เจอ ...เพราะใจมันกลายเป็นผู้หา ไม่ใช่กลายเป็นผู้เห็น

ไอ้ผู้หานั่นแหละคือรากเหง้าของความสงสัย และความสงสัยนั่นแหละคือมลทินแรกของปุถุชน 

สงสัย ...มันเป็นสันดานเริ่มต้นของมนุษย์ มันสงสัยไว้ก่อน พ่อแม่ก็ไม่ได้สอน แต่จิตมันสอนเอง ...มันเป็นธรรมชาติของความไม่รู้ เห็นมั้ย มันไม่รู้ มันเลยสงสัย

แต่พระพุทธเจ้าบอกว่านี่ไม่ใช่ นี่เป็นส่วนเกิน แต่มันแอบแฝงจนเป็นปกติสันดาน พระพุทธเจ้าบอกว่าเป็นอนุสัยหรืออาสวะ ...จนรู้สึกว่าชาตินี้เราจะออกจากความสงสัยไม่ได้เลยน่ะ

พระพุทธเจ้าบอกออกได้...ด้วยสติ สงสัยรู้ว่าสงสัย กำลังหารู้ว่ากำลังหา ...นี่ มีวิธีแก้อย่างเดียว รู้ไปตรงๆ ให้ใจมันเห็นตรงนั้นน่ะ อะไรเกิดตรงไหน เห็นตรงนั้นน่ะ 

ไม่เลือกที่เห็น ไม่เลือกที่รัก ไม่มักที่ชัง ไม่มีอภิสิทธิ์กับอะไร ไม่มีอาการไหนมันเป็นอภิสิทธิ์ว่านี่เป็นทางให้เกิดมรรค หรือว่าถ้าหายสงสัยในเรื่องนี้แล้วจะสบาย เกิดความแจ้งในมรรคหรือวิธีการรักษาใจ

จะไปรักษาได้ยังไง...ใจน่ะ ไม่ต้องรักษาใจ ...รักษาสติ หรือเจริญสติ ...สติอยู่ไหน ใจอยู่นั่น เอาไว้ก่อน พ่อสอนไว้ อันนี้พ่อสอน พ่อคือพระพุทธเจ้า มีสติที่ไหนใจอยู่ตรงนั้นแหละ

ไม่ต้องหา ...ไอ้คนที่เห็นนั่นแหละ ไอ้คนที่เห็นน่ะ มันมีตัวเห็นนั่นน่ะ เห็นอาการ ...ตอนนี้ก็มี เห็นมั้ยล่ะ กำลังนั่งเห็นมั้ย กำลังตึง เห็นมั้ย เห็นตึงมั้ย เห็นเสียงมั้ย เห็นอารมณ์มั้ย

เห็นเข้าไป อะไรก็ตาม ไม่ต้องเลือกน่ะ  ไม่มีอะไรก็เห็น กำลังหาก็เห็นว่ากำลังหาอะไรอะไรดูอยู่ ...เนี่ย มันก็อยู่ในปัจจุบันนี้แหละ


(ต่อแทร็ก 5/19)