วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

แทร็ก 5/25 (2)


พระอาจารย์
5/25 (541111C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
11 พฤศจิกายน 2554
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 5/25  ช่วง 1

พระอาจารย์ –  นี่ตอกย้ำให้รู้ไว้เห็นไว้พอแล้ว เท่านั้นแหละ อย่าเกินรู้เกินเห็น อย่าทำอะไรที่มันเกินรู้เกินเห็นออกไป 

มันจะเคลื่อนออกไป มันจะคล้อยออกไป มันจะไปหา มันจะเข้าไปมี มันจะเข้าไปเตรียมตัวเตรียมอะไร ...รู้ไว้เห็นไว้ อย่าให้มันเคลื่อนออกไป จนมันก่อร่างสร้างขันธ์มารองรับข้างหน้าข้างหลังอะไร

รู้ไว้ ...อย่าเสียดาย อยู่ที่รู้นี่แหละ อยู่ที่เห็นไว้  ทุกอย่างก็จะจืดจางลงไป ความเข้มข้นในขันธ์ก็น้อยลง ...ไอ้ความเข้มข้นคือเข้าไปมีเราเป็นเรานั่นแหละ

เพราะนั้นความมัวเมาที่ว่า...เห็นเหล้าปุ๊บต้องกินปั๊บๆ นี่  เหล้ามันก็มีหลายชนิด แม่โขง เหล้าขาว เหล้าป่า แชมเปญ ไวน์ ...เห็นมั้ย รสชาติเยอะแยะ แตกต่าง เบียร์ ก็เบาๆ ว๊อดก้า เตกิลา ก็แรงหน่อย  

เนี่ย ขันธ์นี่เหมือนเหล้า ...คราวนี้มนุษย์ทุกคน สัตว์ทุกตัว มันเคยกินมาทุกชนิดของเหล้านี่ มันเลยติดใจในรสชาติ ...แต่ตอนนี้ไม่ได้กิน มีแต่เหล้าขาว มันก็เลยคิดว่าเชมเปญอร่อยกว่า

มันเคยกินนะ... มันเกิดตายไม่รู้กี่ครั้งแล้ว ไม่ใช่ไม่เคย ไม่ใช่ไม่เคยรับรู้เวทนาในการปรากฏขึ้นของขันธ์นั้นๆ  มันก็กลายเป็นสัญญาอุปาทานอยู่ข้างใน คือสันดานน่ะ...มันฝังไว้

ยังหาไม่เจอ กูก็จะหาให้เจอ ...ถ้ามีเงินมันก็หาซื้อมา ถ้ามีเหตุปัจจัยที่สามารถสร้างเหตุปัจจัยให้เพียงพอให้เกิดรสชาติของเหล้าขวดนั้น หรือให้ใกล้เคียงก็ยังดี

พอได้กินแล้วก็ไม่พอ...เอ๊อะ มันจะต้องมีแบบหมักร้อยปี หรือก็ต้องเอาหมักล้านปี  คือถ้าหมักนี่มันต้องนุ่มกว่านี้นะ บรรเจิดกว่านี้นะ ...แน่ะ ไม่อิ่มแล้ว ไม่เคยพอ

สัญญานี่มันพาเกิดพาตาย ความไม่รู้พาเกิดพาตาย ความจดจำได้หมายรู้พาเกิดพาตาย พาไขว่พาคว้าพาค้น ...เพราะนั้นการอดเหล้าการอดยา อดกิเลสนี่ มันต้องหักดิบ  

รู้...อยากแต่ไม่กิน  มันจะไป อยากไป...ไม่ไป  อยากจะเข้าไปเพิ่ม อยากทำให้มันลด..ไม่ทำ ไม่ใช่ของเรา ...รู้อย่างเดียว อยู่ที่ใจ นี่ ตั้งมั่น เอาจนมันไม่ไปไม่มา

แต่ขั้นต้นนี่...มันยังแยกไม่ออกเลย อันไหนเป็นรู้..อันไหนเป็นขันธ์น่ะ  อันไหนเป็นนาม..อันไหนเป็นรู้ นี่ อันไหนเป็นความรู้สึก..อันไหนเป็นรู้

บางทีมันตีตราประสมโรงกลายเป็นเหล้าขวดเดียวกันซะอย่างนั้น ...คือมันกินจนเมาแล้ว และไม่รู้เนื้อรู้ตัวได้ในอาการของขันธ์นั้นๆ แล้ว ...มันก็ลำบาก

แต่ว่าอาศัยเล็กๆ น้อยๆ นี่...รู้ไปเห็นไปๆ แล้วก็ตั้งมั่นไว้ ...ความชำนาญ ความชัดเจนในที่ที่ควรอยู่ ไม่เข้าไปในที่เป็นอโคจร  ...ไม่อย่างนั้นน่ะ ไม่ทันมันหรอก 

มันคุ้นเคย มันเที่ยวเตร่อยู่ในที่อโคจรอยู่เสมอ ...คือขันธ์ห้านี่เป็นอโคจร  ขันธ์ห้าภายใน ขันธ์ห้าภายนอกคือผัสสะ คืออายตนะ ...มันโคจรไปหมดในที่ที่ไม่ควรไป 

แต่ไปแล้วมันได้ความเริงรมย์ คือความเผลอเพลิน  ไม่มีอะไรหรอก..เพลินกับความคิด ไม่มีอะไรหรอก..เพลินกับใจลอย มันเพลินดี ...พอให้กลับมารู้แล้วหงุดหงิด ไม่มันเลย อย่างนั้น 

ปล่อยให้มันสบาย ใจมันลอย ...ใจมันลอยแล้วมันลื่น ไถล เถลไถล ...เหมือนยืนอยู่บนกระจกที่มีเลนน่ะ มันแพลบๆ แพลบๆ  มันไหล มันลื่น เห็นมั้ย ...ถ้ามันลื่นมันไหลนี่ มันไม่มีอะไร ปล่อย ลอย เฉยๆ

ลื่นไปทิ่มตอก็ได้ ทำไง มันควบคุมไม่ได้นะเวลามันลื่นไถลนี่  มันจะไถลไปเจออะไรใครจะไปรู้  มีตอ มีหิน มีเหล็กแหลม มีอะไรที่มาเสียดมาแทงเป็นบาดแผลได้ ...เห็นมั้ย ประมาท ใจลอย

ยังไงก็รู้ไว้ อยู่ไว้ๆ รู้ไว้เห็นไว้ ไม่มีอะไรก็รู้อยู่ที่รู้เห็นๆ ...ถ้าไม่มีอะไรก็เห็นอยู่ที่กาย รู้อยู่ที่กาย อย่าเบื่อ ...กายมันเคลื่อนไหวเกิดดับอยู่เสมอ นี่ ดูเหมือนฟ้าแลบ เหมือนไฟแลบ แพลบๆ ในกายนี่ 

ในการเคลื่อนไหวแต่ละครั้ง มันเห็นการดับตามหลังอยู่ตลอดเวลา ...ใจก็ตั้งมั่นขึ้นมา อย่าลืม อย่าลืมใจ อย่าลืมรู้ อย่าลืมอยู่ที่รู้ อย่าลืมฐาน อย่าลืมที่ตั้งของรู้ 

อย่าลืมว่ามีลูกตา ลูกตาอยู่ไหน ตาในตาใจ ...ที่จริงน่ะมันหาที่ตั้งไม่ได้อยู่แล้ว มันไม่มีที่ตั้ง แต่มันมีของมันอยู่ ตรงที่นั้นน่ะ ไม่รู้ตรงไหน

แต่ถ้าหยั่งลงไปบ่อยๆ บ่อยๆ รู้บ่อยๆ  มันก็จะชัดเจนขึ้นตรงนั้นน่ะ...แต่ไม่รู้ตรงไหน ...นั่นน่ะอยู่ตรงนั้น อยู่ที่รู้ ...ทุกคนน่ะมีอยู่แล้ว อาศัยรู้นั่นแหละมาเห็นทุกอาการ โดยไม่อิดออด


เอ้าพอแล้ว ไปเข้าห้องไอซียูกันต่อ ไปอยู่กับทุกข์ขันธ์ของสัตว์โลก ...นี่ จริงๆ มันก็ไหลไปนะ ไปจมกับทุกข์คนอื่น...ด้วยความเมตตาบ้าง ด้วยความปฏิฆะบ้าง

อย่าไปเกื้อกูลโลกเลย เกื้อกูลใจก่อน ....มีคนเกื้อกูลเยอะแล้ว..โลกน่ะ หลายมูลนิธิ ...แต่ละคนก็จะตั้งตัวเป็นมูลนิธิกันทั้งนั้นน่ะ

เกื้อกูลใจก่อน...เอาใจให้พ้น เอาใจให้หลุด  แล้วค่อยว่ากัน แล้วค่อยมาสะระตะดู..เฮ้ย กูจะช่วยมึงดีรึเปล่าโลกนี้ หรือกูไม่ช่วยดีกว่า 

ให้มันได้ตอนนั้นก่อน ...อย่าเพิ่งคิดริอ่าน ไม่มีเงินสักแดง ตั้งมูลนิธิแล้วหากินเอา เขาจะมาช่วยหรือว่าต่อไปก็มีเงินมาสมทบทุนช่วยได้ต่อไปเอง

โดนหลอก ...ความดีก็หลอก ความชั่วก็หลอก บุญก็หลอก บาปก็หลอก...เจ็บทั้งเพ ...มันมีเวทนาที่ต่างกันไป บุญก็เวทนาสุขมาหลอกมาล่อ บาปก็เป็นเวทนาทุกข์ให้เราหนี ให้เราผ่าน

แล้วก็เกื้อกูลจะให้ทุกคนได้กินอิ่มหนำสำราญเสมอเรา หรือยิ่งกว่าเรา หรือดีกว่าเรา แล้วก็ภูมิใจในผลงานชิ้นเอก หรือไม่เอกก็ไม่รู้ ...อย่าไปเชื่อ

เอาใจไว้ก่อน เห็นแก่ตัวเห็นแก่ใจไว้ก่อน เอาใจให้รอดก่อน ...ถ้ารอดแล้วนี่ มันเป็นมูลนิธิโดยปริยาย คือมันเป็นน้ำมหาสมุทรอันใหญ่ที่ใครจะดื่มกินก็ได้ไม่หวงแหน และเป็นน้ำใสสะอาดจริงๆ ไม่เจือปน 

อันนี้ต่างหากคือโคตรพ่อโคตรแม่มูลนิธิ เกื้อกูลโลก...สามโลก ...ไม่ใช่เกื้อกูลแค่พวกมีขามีแขน มีมือมีตีน ...ที่ไม่มีแขนไม่มีขา ไม่มีมือไม่มีตีน...ยังกินได้เลย

ไอ้มูลนิธิหลอกเด็กน่ะ กิเลสทั้งนั้น ความอยาก มันเป็นข้ออ้าง... ความรู้เท่าหางอึ่ง อู้ย จะสงเคราะห์โลก เผื่อแผ่ ... จะเผื่อใคร เห็นตายกันเต็มโลก ตายทั้งคนเผื่อ ตายทั้งคนถูกเผื่อน่ะ

เพราะนั้นสงเคราะห์ตนเองให้มาก เมตตาตน สูงๆ ...เจริญใจเจริญจิตอยู่ภายใน เอาให้มันได้ฐาน...เต็มที่เต็มฐาน 

เพราะมันรู้ตัวได้ทั้งนั้นน่ะไม่ว่าตรงไหน ...การดื่มการกิน การใช้การสอย การอ่าน การที่ผู้อื่นมารับเสนอสัมผัสสัมพันธ์ มันก็รับได้โดยธรรมชาติของใจดวงนั้น

ก็พอแล้ว พอประมาณแล้ว อย่าให้มันกว้างเกินรัศมีมือตีน ...ความคิดมันพาให้เกินรัศมีของการสัมผัสรู้ ...แค่ตาเห็น หูได้ยิน มือสัมผัสได้ ได้กลิ่นลิ้มรสตรงนั้น

จนกว่าจะข้าม หลุด พ้น ...ถึงขั้นที่เรียกว่าหอมทวนลม ...ศีลหอมทวนลม สมาธิทวนลม ปัญญาทวนลม ....คราวนี้ล่ะ มันสามารถจะรับรู้ได้โดยภาวะที่ไม่ต้องเห็น ไม่ต้องได้ยินเข้ามา 

นี่ที่สุดของความเป็นปริสุทธิแล้ว...มันจะทวน ...แต่ตอนนี้ใจมันอยากจะไปทวน หรือความอยากมันพาไป...ด้วยความดีหรือกุศล มันพาเกิด 

กุศลก็พาเกิด ...ไปเกิดตัวตน ไปสร้างตัวตนที่ดีข้างหน้าข้างหลัง ไปสร้างคนอื่นให้เป็นตัวตนที่ดีข้างหน้าข้างหลัง ...มันก็ได้เป็นประโยชน์ในโลกเท่านั้น

แต่ประโยชน์สูงสุด สาระสูงสุด...สำคัญ ...เพราะประโยชน์ในโลกนี่ คือ...มันได้นิดนึงแล้วมันก็ดับไป หรือจะมากมายขนาดไหนก็ยังมีเวลาดับ

แต่ว่าประโยชน์สูงสุดมันไม่ดับ มันเป็นอนันตกาล ...ตายไปแล้วนี่ หมดไปแล้ว สิ้นไปแล้วนี่ ยังอาศัย สืบทอดกันไปหลายร้อยหลายพันปีได้เลย ...เห็นมั้ย ยังประโยชน์ให้โลก

พระพุทธเจ้านี่ สองพันกว่าปียังอยู่เลย ยังสามารถเกื้อกูลสัตว์โลกได้ต่อเนื่องไป ...เนี่ย คือความเป็นเกณฑ์ของการสงเคราะห์โดยธรรม โดยใจที่เป็นธรรมแล้ว มีค่ามากกว่า

อย่าเอาเวลาไปเตรียมการเรื่องคนอื่น เผื่อสิ่งอื่น ข้างหน้าข้างหลังอะไร ...ไล่ใจกลับบ้านก่อน หาใจให้เจอ มัดให้อยู่ มัดจิตมัดใจไว้ในกายอันนี้

อย่าให้มันลุกๆ เดินๆ มันจะกลายเป็นโปลิโอ ตกใต้ถุนบ้าน โดนเขาถีบบ้าง โดนเขาตบบ้าง โดนเขารังแก โดนเขาหลอกไปเชือด ไปฆ่า ไปทึ้งบ้าง ...ออกนอกบ้านแล้วจะง่อยเปลี้ยเสียขา

ฟูมฟักใจไว้ รักษาใจด้วยสติสมาธิปัญญา เนืองๆ เป็นนิจ ...หล่อเลี้ยงใจให้เข้มแข็ง มั่นคง เด็ดเดี่ยว กล้าหาญ ไม่หวั่นไหว ...นั่นแหละใจตั้งมั่น มีผลคณานับ เกื้อกูลสัตว์โลกได้นับไม่ถ้วน

เราสอนคนนี่ เราไม่เคยป่าวประกาศเลยนะ...มากันเอง ...มาทำไม (หัวเราะกัน) ใช่ป่าว ...กูอยู่ของกูเองอยู่คนเดียว สบายดี ...มาทำไมกัน 

มาเองนะ ไม่ได้เรียกร้อง ...กระเสือกกระสน ดิ้นรน กระวนกระวายกันมาถูกด่า ถูกว่ากันเอง ...แล้วก็มาซ้ำมาซากอยู่นี่ เห็นมั้ย 

ไม่ได้เรียกร้อง หรือว่าไปลงประกาศโฆษณาติดบิลบอร์ดตรงไหน หนังสือหนังหาก็ไม่พิมพ์อะไร ใครก็ไม่รู้จัก ...มันมาของมันยังไง อุตส่าห์ขุดรูอยู่แล้ว 

นิมนต์ก็ไม่เคยไป ...ขนาดพระอยู่วัดด้วยกันมันยังถามเลย มันยังไม่รู้จักเลย  มีพระอยู่บนวัดไม่รู้กี่องค์ มาเห็นเรามันยังถาม...ท่านอยู่ที่ไหน  

กูอยู่นี่ก่อนมึงเกิดอีก (หัวเราะ) กูอยู่นี่ก่อนมึงเกิดอีกนะ มึงอายุเท่าไหร่ กูนี่อยู่ก่อนมึงเกิดอีก  กูก็อยากถาม...มึงอ่ะไปอยู่ไหนมาตั้งแต่กูภาวนา

มันก็ยังดั้นด้นเดินมาหา ...มาโดนเตะโดนถีบโดนถองให้จิตมันสงบระงับราบคาบ เนี่ย ไม่งั้นจิตมันดิ้น กระเหี้ยนกระหือรือ ที่มันจะเผยอ ลืมตาอ้าปาก เข้าไปดื่มกิน เข้าไปหา เข้าไปมี เข้าไปเป็น 

มาก็โดนกำราบให้จิตมันราบคาบ เป็นระยะๆ ไป...ด้วยอำนาจของธรรม ด้วยอำนาจของปัญญาญาณ

คนอื่นกำราบยังไม่สำคัญเท่าตัวเองต้องกำราบให้ได้ ...เพราะว่าครูบาอาจารย์ไม่ได้ตามไปสอนถึงในฝันหรอก ไม่ไหว เหนื่อยว่ะ ...ใครจะไปเตือนได้ทุกขณะจิต ใช่มั้ย

ใครก็ไปตามสอนไม่ได้น่ะ มันต้องสอนตัวเอง ...ใครจะไปรู้ว่าตอนนี้มีสุข มีทุกข์ มีโศก  เผลอ เพลิน หลงไปตอนไหนกับอะไร ...ใครจะไปตามสอนตามบอกได้

พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าช่วยไม่ได้หรอก อัตตาหิ อัตโน นาโถ...ต้องกำราบตัวเอง  กำราบใจกำราบจิต อยู่ที่จิตอยู่ที่ใจ ...อยู่ที่ใจอย่าให้จิตมันกำเริบ

อย่าให้อาการของจิตมันกำเริบเสิบสาน มักใหญ่ใฝ่สูง ไปมีไปเป็นกับสภาวะใด ไม่ว่าธรรม ไม่ว่าโลก ...ไม่เอาทั้งโลก ไม่เอาทั้งธรรมน่ะ ...สภาวธรรมก็ไม่เอา สภาวะโลกก็ไม่เอา ดีร้ายถูกผิดก็ไม่เอา 


(ต่อแทร็ก 5/25  ช่วง 3)



วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

แทร็ก 5/25 (1)


พระอาจารย์
5/25 (541111C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
11 พฤศจิกายน 2554
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ  :  แทร็กนี้แบ่งการโพสต์เป็น  3  ช่วงบทความ)

พระอาจารย์ –  Knowing กับ Knowledge นี่ ใช้ภาษาอังกฤษซะอีกแน่ะ ...ไอ้ Knowledge นี่ ความรู้ พวก message ข้อความแขนงต่างๆ นี่ก็เป็น Knowledge ทั้งนั้น

แต่เราไม่เอาน่ะ ไม่ให้เป็น Knowledge ... ให้ Knowing …Knowing Being...รู้ตรงนี้ อยู่ตรงนี้...แค่รู้ ...นั่นเป็นความรู้ที่แท้จริง คือมันใกล้เคียงกับใจที่สุดแล้ว

เหมือนเดินอยู่ที่บันได...ที่จะขึ้นไปสู่ที่สุดของบันได ...ไม่ใช่เดินอยู่บนพื้นราบไปเรื่อยเปื่อย แล้วก็ระเหเร่ร่อน ตกระกำลำบากอยู่ตรงนั้นน่ะ

เดี๋ยวก็จะไปเห็นสีสันๆ มีความรู้อันนั้นเกิดขึ้น มีความเห็นอันนั้นเกิดขึ้น แปลกๆ ใหม่ๆ  ก็กระดี๊กระด๊า ภูมิอกภูมิใจมีอะไรขึ้นมา ....มันมีอะไรสีสันเยอะแยะ...ขันธ์น่ะ 

ข้างในนี่มันยังมีสีสันอีกเยอะ...ในสามภพ  มีตั้งแต่หยาบ...จนสุดหยาบ  มีตั้งแต่ประณีต...จนสุดประณีตน่ะ ...อยู่ในขันธ์ห้านี่แหละ ไม่ต้องกลัวหรอก ยังไงมันก็ได้เจอ 

จนกว่าจะรู้รอบรู้แจ้งนี่ เอาจนโงหัวไม่ขึ้นน่ะ ไม่สนใจอะไรเลย รู้อย่างเดียว เห็นอย่างเดียว ช่างหัวมัน รู้ไว้อย่างเดียว เป็นที่เดียว ...จึงจะเอาตัวรอดได้ รอดออกจากบ่วงขันธ์ กองขันธ์

ภาวะนิพพาน ภาวะพุทธะก็เกิดขึ้นในขณะที่รู้เห็นดับไปๆ ...นิพพานก็ไม่ได้ห่างไกลหรอก เห็นความดับไป เห็นความเป็นอนัตตา

เพราะนั้นเราถึงบอกว่าแต่ละขณะนี่ เดินเหินนี่ เกิดที่หู เกิดที่ตา เกิดที่มือ เกิดที่แขน...มันก็ดับที่แขน ดับที่ไหว ดับที่นิ่ง ...มันเกิดตรงไหนมันก็ดับตรงนั้นแหละ ไม่ต้องไปหาไกลหรอก

ดูตรงนั้น มันเกิดที่ความคิดก็ดับที่ความคิด มันเกิดที่อารมณ์ก็เห็นความดับไปที่อารมณ์ มันเกิดที่หูก็ดับที่หู มันเกิดที่รูปที่ตา มันก็ดับที่ตา ...ไม่ต้องไปหาที่ดับเลย มันเกิดตรงไหนมันก็ดับตรงนั้น

เห็นความเกิดความดับในที่อันเดียวกันนั่นแหละ ง่ายดี ใกล้ดี แนบชิดติดใจอยู่ตรงนั้นตลอดเวลา ...ให้การรู้การเห็นมันแนบชิดอยู่อย่างนั้น...ในขันธ์ ...ไม่มีอะไรเกินกว่าความดับไป

แล้วก็อยู่ที่แค่รู้แค่เห็น...เห็นความดับไป เห็นการเกิดขึ้น เห็นความดับไป รู้เห็นอยู่ ...ถือว่าเป็นความรู้ ที่ว่า Knowledge ที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ...ท่านให้รู้อย่างนี้ จึงจะเรียกว่าปัญญา

ไม่ใช่รู้ไปเรื่อยเปื่อย เห็นไปเรื่อย...คนนั้นเป็นยังไง เขาภาวนายังไง เขาได้ผลยังไง  จับกลุ่มสุมหัว คุยๆๆๆ แลกเปลี่ยนความเห็น คุยๆๆๆ เผื่อจะได้เอามาเก็บไว้ขึ้นหิ้ง แล้วเอามาเปิดอ่านทีหลัง อะไรอย่างนี้

เพราะนั้น ความรู้พวกนี้มันเป็นแค่สีสัน มันเป็นแค่...เขาเรียกว่ายาชูกำลังเท่านั้นน่ะ มันไม่ใช่ความรู้ที่จะพาให้หลุดให้พ้นโดยตรง

เพราะนั้นความรู้ที่จะพาให้หลุดให้พ้น หรือพาให้ใจเกิดความแยบคายถอดถอนนี่ คือความรู้เห็นเป็นไตรลักษณ์ ...คือรู้ไปตรงนี้ ต่อหน้ามันนี่ อะไรเกิดตรงนี้แล้วก็ดับอยู่ตรงนี้ๆ

ไม่มองไกลไปกว่านี้ ไม่เห็นอะไรไกลกว่านี้ เห็นแต่เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ ต่อหน้านี่...ปัจจุบันแล้วก็ดับๆ ...นี่ มีความรู้อันเดียวอันนี้ ปัญญาญาณสอดส่องอยู่ในที่อันเดียว

พอเริ่มจะคว้าเริ่มจะหา ปุ๊บ ทัน...ก็ดับ เห็นความดับไปตรงนั้น ...อย่าปล่อยให้มันลอดช่องออกไป มันคอยแต่จะลอดช่อง ...หาอะไรลอดไม่ได้ กูก็จะต้องเจาะรูให้มันลอดไป 

เนี่ย ใจที่มันไม่รู้ มันชอบหา ...อยู่เฉยๆ นี่ รู้อย่างเดียว นั่งดูนี่สักเดี๋ยวก็... “จะรู้อะไรดีว้า จะพิจารณาอะไรดีว้า” เห็นมั้ย มันเริ่มแล้ว ตั้งแต่ยังไม่มีอะไรจะรู้ มันเริ่มหาแล้ว 

ดูสิ ให้รู้อยู่นี่ ให้รู้อยู่กับรู้...ไม่เอา ...จะหาอะไรมารู้ดีว้า ...นี่ มีราคะรู้ว่ามีราคะ ไม่มีราคะรู้ว่าไม่มีราคะ ...มันไม่ยอมรู้ไม่มีราคะ มันไม่ยอมรู้ไม่มีโทสะ 

มันจะเอาแต่อัตตามาดู ...ก็มันยังไม่มีอัตตาอะไรที่มันเป็นตัวชัดเจนขึ้นมา ก็แปลว่าขณะนั้นมันว่างจากการปรุงแต่ง

คือนักมวยมันยังมีพักยกใช่มั้ย มันไม่ใช่ชกๆๆๆ จนแปดสิบปีแล้วกูตายก็ลงเวที...มันก็มีพัก ...จิตบางครั้งบางขณะมันก็เป็นอย่างนั้น คือมันยังรื้อฟื้นไม่เจอ มันก็ต้องรอเซ็ทตัวก่อน

แต่ถ้าเดินไปแล้วตาเห็น หูได้ยินนี่ ...มันมาเซ็ทให้ ปั๊บเลย ขึ้นเลย “ทำงี้ได้ไง ทำไมถึงพูดอย่างนี้” ...นี่ มาแล้ว มันเซ็ทตัวแล้ว มันก็ชัด

แต่พออยู่อย่างนี้ มันไม่มีปัจจัยมาเร้าให้แปรปรวนมาก ...บางทีจิตมันก็อยู่แบบ...ยังไว้แต่ลมหายใจเข้าออก  ใจมันก็เกิดความราบเรียบ จิตไม่ปรุงแต่ง หรือว่าจิตสังขารยังไม่เกิด

แต่ไม่ได้หมายความว่ามันตายนะ ...คือกูพักยก  เดี๋ยวได้ระฆังปุ๊บ เป๊งปุ๊บ กูต่อยเลย ต่อยแบบไม่มีกรรมการด้วย...มวยมั่ว เข้าใจป่าว 

ก็เอาจนกว่านักมวยมันตาย คือจิตตาย นั่นแหละสบาย ... จิตตาย...ใจไม่ตาย ...จิตปรุงแต่งมีวันตาย...ดูไปจนกว่ามันจะตายน่ะ ตายจากการปรุงแต่ง 

ที่มันไม่ตายเพราะมันคิดว่าจะมีถ้วยรางวัล มันจะเอาแชมป์ ...คือความมุ่งมั่น ...ไอ้ความมุ่งมั่นน่ะคือความหมายมั่น ...ไอ้ความมุ่งมั่นหมายมั่นนั่นน่ะคือตัณหา เป็นแรงผลัก ...จะเอาแชมป์รุ่นไหน 

มันก็จะเอาให้ได้สามสถาบันน่ะ นี่...มันไม่พอหรอก จนกว่ามันจะตายน่ะ ...ความทะยานไปอย่างนั้น ความค้นหา ความแสวงหา ความไม่รู้จักอิ่ม ความไม่รู้จักพอ นี่ มันแอบอยู่ภายในของทุกดวงจิตดวงใจ  

เพราะนั้นดวงจิตดวงใจมันเลยกลมกลืนกัน แยกไม่ออก...อันไหนเป็นจิต...อันไหนเป็นใจ  อะไรก็ว่าใจเราๆ คิดไป ...ไอ้ที่ไปน่ะจิต ไอ้ที่อยู่น่ะใจ

จิตผู้ไป...ใจผู้อยู่  จิตรู้ไป...ใจรู้อยู่ ...มันคนละอัน คนละอาการกัน ...ไอ้จิตน่ะหลากหลายมหาศาล ไม่มีประมาณ ...แต่คำว่าไม่มีประมาณตรงนี้นี่ คนละความหมายกับจิตอัปปมาโน ใจอัปปมาโนนะ 

ไอ้ไม่มีประมาณตรงนี้คือ...มันช่างฟุ้งซ่านได้ล้านแปดเรื่อง ไปได้หมด นี่เขาเรียกว่าหลากหลายไม่มีประมาณสีสันแต่งเติม

แต่ใจมีใจเดียว ไม่ไปไม่มา ไม่ซ้ายไม่ขวา ไม่หน้าไม่หลัง ไม่บนไม่ล่าง ไม่มีเฉียงไม่มีแอบ ...ซึ่งต่อไปไม่ใช่แค่ซ้ายแค่ขวาแล้ว มันชัด ...ต่อไปแค่ผิดไปหนึ่งลิปดาหนึ่งองศา พั่บเลย ทันเลย...นั่น มหาสติ

ใจมันก็สว่างอยู่ภายใน จนมันสว่างอยู่ภายในแล้ว...ต่อไปไม่มีในไม่มีนอกแล้ว มันทะลุ...ขันธ์น่ะ ...เห็นขันธ์น่ะเหมือนเมฆ เหมือนม่าน เหมือนหมอก

ให้ความหมายกับขันธ์...ก็แค่ม่านเมฆ ม่านหมอก พยับแดดเท่านั้นเอง...งั้นๆ พยับนี้กับพยับนี้ พั่บ หาย ไม่มีค่าอะไร จับต้องไม่ได้ ...เป็นมายา 

เป็นสิ่งปรุงแต่ง เป็นเครื่องปรุงแต่ง เป็นเหมือนน้ำปลา น้ำตาล พริก หอม กระเทียม ยังไม่ได้มีความหมายอะไร ...มันเป็นอย่างนั้น มันไม่มีอะไรหรอก

สำคัญที่ใจ สำคัญที่รู้ที่เห็น ไม่สำคัญที่สิ่งที่ถูกรู้สิ่งที่ถูกเห็น ...เพราะนั้นไอ้ที่ถูกรู้ ไอ้ที่ถูกเห็นนี่...อย่าไปเลือก ...หรือไอ้สิ่งที่ถูกรู้สิ่งที่ถูกเห็นนี่...ช่างหัวมัน มันไม่ใช่โคตรพ่อโคตรแม่เราหรอก

มันจะมามันก็มา มันจะไปมันก็ไป มันจะเกิดมันก็เกิด มันจะไม่เกิดก็ไม่เกิด  ไม่สามารถจะไปควบคุม หรือว่าไปเลือก หรือไปคัดสรรมันได้ ...ไม่ต้องคัดสรร

รู้เข้าไว้ เห็นเข้าไว้ ตั้งไว้ที่นั่นน่ะ  ยืนกระต่ายขาเดียว ในที่อันเดียวตรงนั้น  …เหมือนตาเห็น พวกนี้ กิเลสกองนี้ นี่ก็กิเลสตัวนี้ นี่ก็ขันธ์กองนี้ มันก็เห็นได้หลากหลาย

แต่ตานี่มีตาเดียว มันเห็นอยู่อันเดียว มีผู้รู้ผู้เห็นอยู่อันเดียว ...แต่สิ่งที่มันเห็นนี่ แล้วแต่ว่าขันธ์มันจะสำแดง หลากหลาย 

มันก็เป็นแค่สิ่งอะไรวูบวาบแค่นั้น ...สุดท้ายก็วาบ กระจาย สลาย แตก ดับ สิ้น หมด สูญ ไม่เหลือ ไม่คงอยู่ หาตัวตนไม่ได้ จับต้องไม่ได้

ใจมันเรียนรู้อย่างนี้ซ้ำซาก รู้เห็นซ้ำซาก ซ้ำซากๆๆ ...เห็นกายอันเก่า จิตอย่างเก่าน่ะแหละ ซ้ำซากๆ ...มันมายังไงก็ดับยังงั้น มึงมายังไง มึงก็ดับ

มึงจะมาซ้ายก็ดับ มึงจะมาขวามึงก็ดับ มึงจะมาบนมาล่าง มึงเกิดซ้ายเกิดขวา เกิดหน้าเกิดหลัง เกิดมากเกิดน้อย เกิดนานเกิดช้าเกิดเร็ว เกิดแบบหยาบ เกิดแบบละเอียด เกิดแบบประณีต ...มึงก็ดับ

มันเห็นซ้ำซากอย่างนี้ ขันธ์อันเดิมนั่นแหละ เรียนรู้ขันธ์อันเดิมน่ะแหละ กายอันเดิม ลักษณะของการปรุงแต่งกายแบบเดิม ลักษณะการปรุงแต่งของจิตแบบเดิม...คิด จำ นึก รู้สึก

ผัสสะก็ผัสสะแบบเดิม คือเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้รส กระทบเย็นร้อนอ่อนแข็ง ...แต่ว่าไอ้เหตุที่ให้เกิดเย็นร้อนอ่อนแข็ง หรือรูปที่เห็นเสียงที่ได้ยินแปรเปลี่ยนไป 

แต่ว่าก็เห็นอันเดิม รู้อันเดิม ได้ยินอันเดิม ได้กลิ่นอย่างเดิม ...ดูลงไป ซ้ำลงไปที่เก่านั่นแหละ ในขันธ์อันเก่า ในการรับรู้กับกะลาต่างๆ 

ทั้งกะลามันเอง ทั้งกะลาที่มันกระแทกกระเทือนกระทบกัน ...ไม่มีกะลาไหนดีกว่ากะลาไหนหรอก ไม่มีกะลาไหนถูก ไม่มีกะลาไหนผิด ...มันก็แค่อะไรมาครอบไว้ แค่นั้นน่ะ

อะไรมาครอบ ...ซาก วิบากขันธ์ ซากอกุศล ซากกุศล คือวิบากของกุศล กับวิบากของอกุศล หรืออัพยากฤต ...มันก็ก่อเป็นซากนี่มาครอบ

ถ้าไม่เข้านิพพานนะ มันก็ไม่เหลือเหมือนกัน ดับเหมือนกัน ไม่เหลือ ...มันมีแค่ให้หลอกตาอยู่แค่ชั่วคราว แล้วมันก็สูญหายไป 

แต่ใจไม่สูญ ใจมาเกิดใหม่ ...มันหวงแหนกบ กบมันตัวใหญ่ มันก็กระโดดไปหากะลาใหม่มาครอบมันไว้ ...เหมือนปูเสฉวน 

แล้วก็หาแต่ไอ้ที่ดีๆ ด้วยเพราะมันรู้มาก ไอ้คนไม่รู้มันก็หาอะไรที่มันไม่ดีมาครอบ ...มันก็เป็นอากาศเหมือนเดิม มันก็ซ้ำซากอยู่อย่างนั้น

จนกว่าใจภายใน มันจะรู้มันจะเห็น...ด้วยญาณ ด้วยปัญญาญาณ ด้วยความเป็นกลาง ด้วยความที่เท่าทัน ที่จะเข้าไปอิงแอบแนบชิดหรือเกลือกกลั้ว หรือแม้แต่เข้าไปแตะ

มันทัน ...ทันจนถึงขั้นขาดออกจากกัน ไม่เป็นเนื้อหนึ่งใจเดียวกัน ระหว่างใจ...กับขันธ์ ...มันก็เกิดการแยก 

ไอ้การแยกตัวออกมานั่นแหละคือหลุดพ้น ...มันหลุด มันพ้น จากการเข้าไปวนเวียนในขันธ์ ...เพราะอะไร ...เพราะมันเห็นสาระในขันธ์ไม่มี


 (ต่อแทร็ก 5/25  ช่วง 2)



วันอาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

แทร็ก 5/24 (2)


พระอาจารย์
5/24 (541111B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
11 พฤศจิกายน 2554
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 5/24  ช่วง 1

พระอาจารย์ –  แต่ถ้าแก้ที่ใจ แก้ด้วยใจ..รู้อย่างเดียว เห็นอย่างเดียว อะไรก็รู้ อะไรก็เห็น ...มึงไม่อยู่ มึงไม่ไป...กูก็รู้ มึงตั้งอยู่...ก็รู้  มากขึ้น...ก็รู้ น้อยลง...ก็รู้  ยังตั้งอยู่...ก็รู้  ...นี่ แก้ด้วยรู้

จนถึงที่สุดของทุกขสัจ คืออาการที่ปรากฏของขันธ์...ไม่ว่าขันธ์นั้นหรือขันธ์นี้  ไม่ว่าขันธ์ที่ไม่มีวิญญาณครอง...วัตถุ หรือขันธ์ที่มีวิญญาณครอง มันก็ขันธ์อันเดียวกันนั่นแหละ...กะลาใหญ่หรือกะลาเล็กล่ะ แค่นั้นน่ะ

เพราะนั้นอยู่ที่ใจ ตั้งลงไว้ที่ใจ เอาให้มั่น เอาให้แน่น เอาให้มันเป็นสัมมาสมาธิ ...เมื่อมันตั้งมั่นได้อย่างนั้นแล้วนี่ ญาณทัสสนะคืออาการเห็นตามความเป็นจริง...เห็นการเกิดขึ้น การตั้งอยู่ การดับไปเองของมัน 

นั่นแหละคือปัญญาก็จะเกิดตามมา เห็นความเกิดเอง ตั้งเอง ดับไปเอง

เรานั่งรถมานี่ เราไม่รู้หรอกว่าเราจะเจออะไร เห็นอะไร ...มันเกิดเองใช่ไหม รูปน่ะ เสียงน่ะ มันเกิดเองใช่ไหม ...เราไม่ได้เลือกนะ เราคาดไม่ได้นะ นี่มันเกิดเองนะ 

มันก็รับสัมผัสแล้วมันตั้งเองน่ะ แล้วมันก็ดับไปของมันเอง...เห็นไหมล่ะ ...มันไม่เห็นนี่ ...ถ้ามันเห็น ตั้งอยู่ที่ใจ...รู้อยู่ มันก็จะเห็นอาการที่เป็นไตรลักษณ์โดยธรรมดาของมันเอง 

ไม่ต้องไปพิจารณา ไม่ต้องไปเลียบเคียง ไม่ต้องไปค้นคิดขึ้นมาเลย ...มันก็เห็นไป วูบวาบๆๆๆ ...ถ้ามันเริ่มสติอ่อน ปัญญาอ่อน แล้วไม่รู้จะรู้อะไร มันไม่เห็นอะไร ...ก็รู้มันอยู่ที่รู้ เห็นมันอยู่ที่เห็นนั่นแหละ 

มันไม่เห็นไตรลักษณ์อะไร มันหาไตรลักษณ์อะไรไม่เจอ...บางทีมันก็มี ไม่รู้จะอะไรเป็นไตรลักษณ์ ไม่เห็นอะไรเกิด ไม่เห็นอะไรดับ ...ก็ไม่ต้องหา อย่าหา  รู้ไว้เห็นไว้ อยู่ที่ตรงนั้นแหละ ตั้งไว้

เหมือนกับสตาร์ทเครื่องไว้ อย่าดับ อย่าให้เครื่องดับ อย่างน้อยมันก็พร้อมที่จะเดินต่อ ...ไม่งั้นมันก็จะปล่อย ดับเครื่องซะ ...คือทิ้งใจ หรือทิ้งสติ ทิ้งสมาธิไป

ความประมาทก็คืบคลานเข้ามา ความมัวเมา หรือความหลง หรือว่าความมืดบอด...มันก็คืบคลานเข้ามาปิดใจจนความรู้ตัวหาย ความไม่รู้เนื้อรู้ตัวเข้ามาแทน คือความมืดบอดครอบ...ตาที่มันเคยสว่างตื่นก็หลับ

มันไม่เห็นไตรลักษณ์ ...ช่างมัน  รู้ไว้ เห็นไว้ อยู่ที่รู้ รู้อยู่ที่รู้ เห็นอยู่ที่เห็นนั่นแหละ ...ไม่ต้องกลัวเพ่งใจ ไม่ต้องกลัวว่าเป็นการกำหนดผู้รู้ ...ต้องการให้เพ่งภายใน 

ต้องเพียรเพ่งอยู่ในที่อันเดียวนี่แหละ ...ใครจะว่าติด ใครจะว่าจงใจ...ไม่รู้อ่ะ เราไม่ได้ให้จงใจที่กาย เราไม่ได้ไปเพ่งที่ความคิด หรือความรู้สึกนี่ ...เราให้เพ่งอยู่ที่ใจน่ะ

ไม่ต้องกลัวหรอก ...ทุกวันนี้ใจมันยังหาแทบไม่เจอเลย ตกๆ เรี่ยๆ ราดๆ อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ เหมือนปรอทน่ะ เหมือนเดินถือถาดที่มีปรอทอยู่เต็ม แล้วก็แพล้บเดียว...ร่อนหายไปแล้ว

เดินเร็วๆ ก็หายแล้ว มีเหตุการณ์ฉุกละหุกอะไรขึ้นมาปั๊บ ดูสิ ใจตกหล่นหายแล้ว ...แล้วไปไล่เก็บเบี้ยใต้ถุนร้านอยู่น่ะ  แล้วไปค้น ไปซาวหาอยู่ในน้ำครำอยู่นั่นแหละ ...ไม่ค่อยเจออ่ะ

นั่น เพ่งก็ต้องเพ่งล่ะวะ ผู้รู้น่ะ ....แล้วมันค่อยๆ สมดุลระหว่างศีลสมาธิปัญญา เป็นมรรคสมังคีกันขึ้นมา เกิดความพอดี รู้เห็นกลางๆ ...เหมือนกลายเป็นเชื้อไวรัส ไม่หายไปไหน อยู่อย่างนั้นเลยน่ะ

สว่างโร่อยู่ภายในนั่น ...แจ้ง มันแจ้งนะ มันแจ้งข้างในน่ะมันแจ้ง ....ไม่ใช่แจ้งแบบนีออน มันแจ้ง รู้เห็นตื่นลืมตาโพลงอยู่อย่างนั้นน่ะ...รู้อยู่

ถ้ามันอยู่ได้อย่างนั้นนานๆ ต่อไปเรื่อยๆ ...ภาวะอย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่าเป็นมหาสติ ไม่มีอะไรเล็ดลอดไปได้จากมหาสติ

อะไรที่ไม่สามารถเล็ดลอดไปได้...ก็คือขันธ์ คืออาการของขันธ์ที่ปรากฏ ไม่สามารถเล็ดลอดได้เลย ...นั่นเรียกว่ามหาสติ...ผลจากการที่มันรู้เห็นต่อเนื่องนั่นแหละ

มันจะไม่...เอ๊ะ อื๊อ เอ๊อะ อะไรวะ มันหายไปยังไงวะ มันมายังไงวะ ...นี่ มันสงสัย  'เอ๊ อะไรวะ' ...นี่สงสัย  'เอ๊ะ ทำไมมันเป็นอย่างงั้น' ...สงสัย ...นี่ เพราะมันไม่มีมหาสติ มันไม่มีมหาปัญญา  

มันหลุดๆ ร่อนๆ เรี่ยๆ ราดๆ ...'มันมาตอนไหน มันหลงไปตอนไหนวะนี่ มันมาได้ยังไง มันเกิดได้ยังไง มันเป็นเราเป็นเรื่องของเราได้ยังไง' ...นี่ ท้ออีก กังวล หาใหม่ต่ออีก เอ้า ทำขึ้นมาอีก แก้อีก 

แก้ไม่ได้นะ ไม่ต้องแก้ ...รู้อย่างเดียว สงสัยก็รู้ งงก็รู้ ...ช่างหัวมัน อยากอยู่อยู่ไป มีอะไรเกิดขึ้น มีอารมณ์อะไรปรากฏ มันผูกมันพันอยู่กับอารมณ์อะไร ...รู้มันตรงๆ

หงุดหงิด...รู้ตรงนั้น ดูมันเห็นมันตรงนั้นเลย  กลัว...รู้มันเห็นมันกับความกลัวนั้น  กังวล...รู้มันเห็นมันกับกังวลนั้นเลย ...เอามันตรงๆ ตรงนั้น รู้เห็นตรงนั้นเลย

จนเห็นว่า...กังวลก็คือเหมือนแก้วใบหนึ่ง กลัวก็เหมือนถาดใบหนึ่ง เอ้า ...ไม่มีอะไร ไม่ได้เป็นใคร เป็นสิ่งหนึ่ง ไม่มีความเป็นสัตว์ ไม่มีความเป็นบุคคล 

นั่น ต้องแก้ลงในปัจจุบันนั้นเอง ...ไม่ใช่ไปนั่งตีอกชกหัว ไปกังวล ไปหาเหตุหาผล ค้นหาความเป็นจริงอย่างนั้นอย่างนี้ ...รู้มันตรงนั้น เห็นมันตรงๆ อย่างนั้น รู้ไปตรงๆ

จนใจมันเห็นถึงความปรากฏนั้น...เป็นธรรมชาติหนึ่ง ที่ไม่มีความเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นใคร เป็นของใคร ...แล้วมันก็จะถึงที่สุดของมัน คือความจางไป ดับไปเองของมัน

ใจมันก็จะเข้าไปเห็นไตรลักษณ์ ที่สุดของไตรลักษณ์คือความเป็นอนัตตา คือความไม่มี...ไม่มีตัวตนหลงเหลืออยู่เลย หายไปตรงไหนก็ไม่รู้ หายไปในไหนก็ไม่รู้

หาไม่เจอ...ความรู้สึกนั้น ลักษณะของขันธ์ตัวนั้น อาการของขันธ์อย่างนั้น ...มันหายไปในสุญโญ ไม่มีไปหมกเม็ดอยู่ที่ไหนหรอก

ใจรู้ใจเห็น ใจก็เป็นมรรค ใจก็เป็นผล ...ก็อาศัยใจรู้ใจเห็นนั่นน่ะ อาศัยใจนั้นน่ะเป็นมรรค อาศัยใจนั่นแหละเป็นผล ...ผลมันก็เกิดที่ใจนั้นน่ะ จากที่มันรู้มันเห็นนั่นแหละ

มันก็คลายออก ...มันรู้เห็นอะไร มันก็คลายออกอันนั้น  ผลก็เกิดที่ใจดวงนั้นแหละ เห็นมั้ย มันไม่ได้ไปหาที่ไหนนะผลน่ะ มันก็อยู่ที่ใจที่มันเห็นแล้วคลายออก บ้วนออกทิ้งไป เหมือนเขฬะน้ำลาย

ความว่าง ความเบา ความสบาย ความปล่อย ความหลุด ความพ้น ความออก ความเหนือจากขันธ์ มันก็ปรากฏที่ใจดวงนั้นนั่นแหละ ...มันเกิดตรงนั้นน่ะ เกิดที่ใจรู้เกิดที่ใจเห็นว่าใจรู้ใจเห็นเป็นมรรค 

นิโรธก็เกิดที่ใจปล่อยใจวางในสิ่งที่มันรู้ ในสิ่งที่มันเห็น ...มันวางอะไร...มันวางขันธ์  ขันธ์คืออะไร...คือสิ่งที่ปรากฏในปัจจุบัน  มันวางยังไง...มันเห็นว่าไม่มีอะไร มันเห็นความดับไปเอง ...นั่นแหละ ผลก็เกิดที่ใจ

มรรคก็ต้องอาศัยใจนั่นเป็นมรรค เป็นผู้รู้ เป็นผู้เห็น ...ถ้าไม่เป็นผู้รู้ผู้เห็นแล้วจะใครล่ะเป็นผู้เห็น ใครล่ะจะเป็นผู้รู้ ...มันก็ต้องเป็น มันก็ต้องมีผู้รู้ มันก็ต้องมีผู้เห็น มันก็ต้องมีความเป็นบุคคล

เพราะมันยังเป็นใจในกะลา ยังไงก็ต้องเป็นผู้รู้ผู้สังเกต มันต้องมีความเป็นบุคคลเป็นสัตว์ว่าใจของเราอยู่แล้ว ...แต่บอกว่าเป็นบันได ถ้าไม่มีผู้รู้ผู้สังเกต มันจะไปที่สุดของบันไดตรงไหน

กลัวแต่จะเป็นอัตตา กลัวว่าจะไปติดผู้รู้ ...อยากให้ติดๆ น่ะ ...บันไดนี่สมมุติมันมีสัก 100 ขั้น เดินขึ้นไปเหอะ อาศัยใจดวงนี้เป็นผู้เดิน เป็นมรรค รู้เห็นไป เป็นผู้รู้ผู้เห็นเข้าไป ช่างหัวมัน

เดินมันก็เดินไปเรื่อย เป็นมรรค ผลก็สูงขึ้น ...เออ อยู่ในที่ราบกับอยู่ในที่สูง มันคนละบรรยากาศนะ  เหมือนอยู่บนพื้นกับอยู่บนยอดดอย สภาวะบรรยากาศเมื่อมันสูงขึ้น ...มันก็เปลี่ยนไป

นี่ ผลมันก็เกิดตอนคนที่เดินคือใจดวงนั้น ...อ้าว ถึงยอดแล้ว ไม่รู้จะเดินที่ไหน...ทิ้งปุ๊บ ...จะไปปีนป่ายไขว่คว้าหาบันไดที่ไหน มันไม่มีบันไดให้ไปแล้ว ...มันก็หมดทางไปแล้ว

ใจมันก็คืนสู่อิสระ เต็มที่เต็มฐาน ไม่มีความเป็นผู้รู้ ไม่มีความเป็นผู้เห็น ...มีแต่ใจรู้ มีแต่ใจเห็น  ใจไม่ใช่สัตว์ ใจไม่ใช่บุคคล มันก็รู้ของมันอยู่

เคยอ่านหนังสือจิตอมตะรึเปล่า ของลุงหวีด นั่นแหละ จะไปละผู้รู้ผู้เห็นแทบตาย ถึงเวลามันละของมันเอง ...อาศัยใจมรรคนั่นแหละละตัวมันเอง มันรู้มันเองก็มันฆ่าตัวมันเองนั่นน่ะ

ท่านเรียกว่าเหมือนม้าอาชาไนย รู้จักรึเปล่าม้าอาชาไนย ม้าอัสดรนั่นแหละคือม้าอาชาไนย เวลามันเกิดน่ะมันถีบท้องแม่ออกมา ...เพราะนั้นถ้าม้าอัสดรม้าอาชาไนยนี่เกิด...แม่มันตาย

เหมือนกล้วยออกเครือ ...ก็ตัวมันน่ะให้เครือ แล้วเครือน่ะแหละฆ่าตัวเอง ...นั่นแหละใจที่เป็นมรรค ใจที่เป็นผล 

ไม่ใช่ว่าไปฆ่าทำลายในที่ไหนที่หนึ่ง ...ใจดวงนั้นแหละรู้ ใจดวงนั้นแหละเห็น แล้วก็ใจดวงนั้นแหละหลุดพ้นจากการที่มันรู้มันเห็น

อย่าเบื่อที่จะรู้ อย่าเบื่อที่จะเห็น อย่าเซ็ง อย่าท้อ...ว่าไม่เห็นได้ ไม่เห็นถึง ...มันจะไปไหน จะไปภพไหน เอาภพที่ไหนมา ...คือกะลาใบนี้มันเล็กเกินไปแล้วหรือไง หรือกะลานี้ไม่สวย หือ

จะเอาไปแข่งกับกะลาคนอื่นเขารึไง ...นักภาวนามันภาวนาหากะลากัน  ถ้ากะลาไหนปิดทองลงรักสลักเข้าหน่อยล่ะ อื้อหือ อยาก น้ำลายยืดน้ำลายย้อยว่า โอ้ย นี่ขั้นสูง

โอ้โห ทำไงน้อ อิชั้นจะได้เป็นยังงั้นมั่ง ได้กะลาทองมาครอบ น่าจะมีความสุขดี ...อือ บ้า ผีบ้า ภาวนาผีบ้า ...หลวงปู่ท่านบอกผีบ้า ภาวนาไม่เป็น

เพราะนั้น รู้เห็นไป อย่าเบื่อ อย่าท้อในการรู้การเห็น ...ให้ใจมันรู้ ให้ใจมันเห็น ไม่ว่าอะไร อย่าเลือก ...แม้แต่จะไม่รู้ว่าอะไรคืออะไรก็ตาม

ก็บอกแล้วมันคืออะไรๆ อย่างหนึ่งแค่นั้นในอาการนั้น...ไม่ว่าทางกาย ไม่ว่าทางนาม  บางทีก็ไม่รู้จะสรรหาชื่ออะไรดี เพราะไม่เคยเจอเลย ไม่เคยได้ยินมาก่อน เลยหาชื่อใส่มันไม่เจอ

ก็มันก็เป็นแค่อะไร...ก็รู้ว่ามันเป็นแค่อะไร ...อาการทางกายมันก็เป็นแค่อะไรอย่างหนึ่ง ไม่ต้องไปหาโคตรหาพ่อหาแม่มันหรอก มันเป็นอะไรก็เป็นอย่างนั้น ...รู้มันไป เห็นมันไป อย่าเบื่อ 

แล้วพอมันเริ่มเคลื่อนเริ่มคล้อย จะเคลื่อนจะคล้อยออกจากรู้จากเห็น ให้น้อม หยั่งลงไว้ที่รู้ที่เห็น ...เพราะไอ้ธรรมดารู้เห็นของพวกเรานี่มันแบบอัพยาอยู่ มันติดยา มันเมา ...มันมีความเมา 

มันพร้อมจะเข้าไปตีสนิทกับทุกอย่าง เข้าใจป่าว พอรู้...รู้แล้วว่ามีขวดเหล้า เดี๋ยวกูหาคนกิน คือเหล้ากับคนเมาน่ะ หือ เหล้าน่ะมันไม่เมา คือกูนั่นแหละเมา ...ก็กูไปกินเหล้าเองน่ะ ก็เคยกินน่ะ เห็นเหล้าไม่ได้

ขันธ์น่ะคือเหล้า มันไม่เมาหรอก ตัวมันน่ะก็ไม่ได้เรียกร้องให้คนมาเมาหรอก ...แต่เผอิญกูเคยกินน่ะ มันเห็นแล้วมันอดไม่ได้ที่จะเข้าไปกิน ...ไม่ใช่เขามาหลอกล่อนะ เราน่ะไปกินเขาเอง เนี่ย

คือถ้าคนตื่นแล้วนี่ มันรู้ ไม่กินน่ะเหล้า มันเมา ไม่ดี ... เพราะนั้นพอเริ่มรู้ว่า...เอาล่ะโว้ย กูยังไม่สร่างเมาดี คือมันยังไม่ตื่นเต็มที่  ไอ้นี่มันยังกรึ่มๆ ตายังปรือๆ ...อดไม่ได้ มันมีเชื้อหลงอยู่

พอมันจะคล้อยจะเคลื่อนไปหยิบไปจับ ไปหาเหตุหาผล ไปผลักเข้า ไปดึงออก ...นี่ คืออาการที่เข้าไปเมากับมัน...ก็ทัน แล้วกลับมารู้เห็นไว้ ...นี่เรียกว่าสมาธิ

สมาธิจึงเป็นเหตุให้เกิดปัญญา ...ถ้าไม่มีสมาธิคือกลับมารู้อยู่เห็นอยู่ ตั้งอยู่ที่รู้นี่  มันจะไม่เห็นว่ามันเป็นของมึนเมา ที่ไม่เคยเรียกร้องให้มึงมาเมากู จะได้ไม่ต้องไปว่า ไปต่อล้อต่อเถียงกับมัน

คือแรกๆ เห็นนี่ยังไปต่อว่า "มึงมาทำไม" ...เนี่ย มันมีปากมีเสียงมั้ย เราถึงบอกว่ากายนี่เงียบใช่ไหม มันเคยไม่บอกเลยว่า มาหลงหนูหน่อยนะคะ มาหลงผมหน่อย ผมหล่อนะผมดีนะ ...มันไม่พูดนี่ ใช่ไหม

แต่แรกๆ เวลาอารมณ์นั้นเกิด สภาวะนี้เกิด ก็หงุดหงิด ไม่ชอบมัน 'ทำไมถึงมา ทำไมถึงไม่หายไป ทำไมถึงลืม ทำไมถึงหลง' ...นี่ หลงก็หลงสิ ทำไมจะต้องหงุดหงิดล่ะ หือ ลืมก็ลืมสิ ทำไมจะต้องไม่พอใจล่ะ 

เขาไม่มีชีวิตจิตใจหรอก อย่าไปเมา ...ไปแอบกินน่ะ พอเริ่มแอบดวดเป๊กนึงก็เริ่มแล้ว กรึ่มๆ ...ถ้ามันมีเชื้อหลายเป๊กเข้าไปล่ะ "เฮ้ย ผมไม่เมาอ่ะ" ...แต่เดินนี่ไม่ตรงน่ะ มันก็ว่า “ผมไม่เมา หนูไม่เมา”

คือทั้งโลกมันเมา...เมากันทั้งโลก มันก็เดินสะเปะสะปะกันว่า “ไม่เมาๆ” ....มันคุยกันรู้เรื่องดี มันเลยถือว่าเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน เผ่าพันธุ์กบในกะลาเหมือนกัน

เดินเซกันไปชนกันมา เอากะลาชนกัน ไปแอบหงายดูของเขาบ้างว่าเขามีอะไร ใจเขาดีไหม ใจเขาคิดยังไง ไอ้นั่นนิสัยไม่ดี ไอ้นี่นิสัยดี 

นี่คือสีสัน มันเป็นสีสันในโลก แค่สีสัน เขาจะแต้มอะไรสีอะไรของเขา ...ทำไมจะต้องอยากรู้ ทำไมจะต้องไปอยากเห็น มันคิดว่ามันได้มรรคได้ผลมั้ง 

นี่ ...ไม่ได้มรรคไม่ได้ผลนะ ไปรู้ไปเห็นอะไรพวกนี้ ...ไอ้ความรู้พวกนี้มันไม่มีประโยชน์


(ต่อแทร็ก 5/25)