พระอาจารย์
5/29 (541127B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
27 พฤศจิกายน 2554
พระอาจารย์ – กลับไปทำอย่างเดิม รู้อย่างเดิม รู้เหมือนเดิม
รู้แบบเก่านั่นแหละ ...อะไรเกิดขึ้นก็รู้ อะไรปรากฏผุดโผล่ก็รู้ มันหายไปก็รู้
มันตั้งอยู่ก็รู้ มันอยากก็รู้ มันไม่อยากก็รู้ …รู้อย่างเดียว
ไม่ต้องสนใจ อะไรก็ได้ รู้ไว้ เห็นไว้
...เมื่อรู้แล้วให้เห็น..เห็นว่าอะไร เห็นว่ามันเป็นอะไร เห็นว่ามันเป็นใคร
เห็นว่ามันมีมายังไง เห็นว่าสุดท้ายมันก็ดับไป ...มันเห็น..รู้แล้วเห็นว่า..อ๋อ มันเป็นอย่างนี้
อะไรเกิดขึ้นแรกๆ ปุ๊บ รู้ไว้ก่อนๆ ...เพราะมันไม่คาดฝันหรอก ธรรมะเป็นสิ่งที่คาดไม่ได้ คะเนไม่ได้...ใช่ไหม
เราไม่รู้หรอกว่านี่เดี๋ยวขับรถไปเราจะเจออะไรบ้าง ...มันคะเนไม่ได้นะ ธรรมข้างหน้า
เพราะนั้น
เมื่อมันมีอะไรเกิดขึ้นด้วยการที่ไม่คาดฝัน หรือว่ามันมาแบบไม่คาดหมาย ...มันต้องรู้ก่อน แล้วก็เห็นตาม เห็นว่า..อ้อ มันเป็นสิ่งที่ปรากฏ
แล้วอะไรปรากฏ ...ตรงนี้จะมีความปรุงแต่งเข้าไป เป็นชายเป็นหญิง เป็นดีเป็นร้าย เป็นคุณเป็นโทษ
เป็นถูกเป็นผิด พวกนี้...มันปรุงแล้ว มันให้ค่าแล้ว
ถ้าเห็น รู้แล้วให้เห็นไว้ก่อนว่า...มันกำลังจะเริ่มปรุงแล้ว
มันเห็นแล้ว จะปรุงแล้ว...อย่าปรุง ให้ทัน ไม่คิด ไม่หา ไม่เอาถูกเอาผิด
เอาห้าเอาสิบอะไรกับมัน ...นี่ เห็นเฉยๆ เห็นเป็นกลางๆ ไว้
พอเห็นเป็นกลางปุ๊บ
สุดท้ายเดี๋ยวมันก็ยักย้ายกลายสภาพ แปรปรวนเปลี่ยนแปลง หมดไป สิ้นไป ดับไป นั่น
สุดขั้นตอนของธรรมนั้นๆ ที่ปรากฏ หรืออัตตานั้นๆ ที่ปรากฏ...จบ เห็นอัตตาดับ
เห็นตัวตนนั้นดับ ดับๆๆๆ
เอ้า เสร็จแล้วพอกลับไปถึงบ้านดันเสือกคิดขึ้นมาอีก
จำได้ว่า..ไอ้นี่ทำกู ไอ้นี่ทำอย่างนี้ ...ก็รู้อีกว่าเป็นสัญญา รู้ปุ๊บ นี่เห็นมั้ย
รู้ปุ๊บนี่สัญญา...เห็น แล้วก็เห็นสัญญาต่อ
สัญญาเป็นอะไร เป็นแผ่นภาพ
มันเป็นภาพแผ่นๆ น่ะ ไม่มีชีวิตจิตใจ ไม่มีตัวไม่มีตน ...มันเป็นอะไรเป็นแผ่นขึ้นมา
เป็นแผ่นความทรงจำ เมมโมรี่ มีภาพเสมือนจริงอยู่ เหมือนสามมิติ เอ้า อย่างนั้น
ก็นั่นน่ะ ก็เห็นอยู่ ...แล้วมันจะเริ่มเข้าไปปรุงต่ออีกนะ
เอ้า ทันอีกๆ เห็นอีกว่าจะไปปรุงกับสัญญา ว่าจะไปทำยังไงต่อข้างหน้า
ถ้ามันมาครั้งต่อหน้าแล้วเราจะทำยังไงมันดี
เอาอีกแล้ว เริ่มปรุง ...ก็ไม่ปรุงต่อ
เอาสัญญามาเป็นอารมณ์ ...แล้วก็ต่อไปต่างคนต่างอยู่อย่างนี้ ดูมันไป อ่ะ เดี๋ยวก็สัญญาดับ ...นี่
อัตตาของสัญญาดับอีกแล้ว ที่สุดของมันก็แค่ดับไป
นี่ ภาวนาคือทำเรื่องแค่นั้นแหละ
อยู่อย่างเงี้ย ...ให้สนใจใส่ใจอยู่กับเรื่องที่จะมาจำแนกแยกธาตุแยกขันธ์อยู่อย่างนี้ ...นี่เขาเรียกว่าวิจยธรรมเป็นส่วนๆ ไป
แต่ยังไงต้องมีฐานก่อน...ฐานใจ
รู้เห็นก่อน เป็นฐาน..ฐานหลัก ...ไม่งั้นมันก็จะล่องลอย เลื่อนลอยไปเรื่อยเปื่อยแล้ว
เหมือนหลักลอยน่ะ
เหมือนยืนบนโคลนน่ะ ...จะไปทำงานตรงไหนได้ล่ะ หือ ขามันยังยืนไม่ตั้งเลย แพลบไปแพลบมา ไอ้นั่นก็คว้า ไอ้นี่ก็มา จะไปหานู่น จะไปเอานี่ ...มันก็ลื่นไถลไปหมด
นี่ มันตั้งไม่ได้น่ะ
มันต้องหาที่ตั้งให้อยู่ก่อน ...ตั้งไหนล่ะ ใจตั้งน่ะ ใจอยู่ที่ไหน ...ใจอยู่ที่รู้
ใจอยู่ที่เห็น ใจคือดวงจิตผู้รู้อยู่นั่นแหละ ตั้งอยู่ที่รู้นั่นแหละ ...เอาให้มั่นก่อน
ถึงบอก ยังไงต้องรู้ไว้ก่อนๆ แล้วก็หยั่งลงไปที่รู้นั้นน่ะ..เสมอ
...มันไม่รู้หรอกว่าตรงไหน หยั่งเข้าไปเหอะ รู้บ่อยๆ มันก็จะรู้เอง อ้อ ตรงเนี้ย
ตรงที่รู้สึกว่ารู้น่ะ
ไม่รู้อยู่ตรงไหน อยู่ที่หน้า
อยู่ที่อก อยู่ที่หู อยู่ที่หาง อยู่ที่ก้น ไม่รู้ล่ะ มันอยู่ตรงรู้น่ะแหละ ...มันรู้บ่อยๆ แล้วมันจะสังเกตได้ อ้อ อยู่ตรงนี้ ...ก็ไม่รู้ “นี้” ไหนน่ะ “นี้” ใคร
“นี้” มัน
หยั่งลงไปที่รู้นั่นแหละ
มันมีตำแหน่งของมัน...โดยสามารถคะเนกำหนดได้น่ะด้วยการรู้บ่อยๆ …ถึงบอกว่ารู้บ่อยๆ ไง มันจะได้คุ้นเคยว่าฐานของมันนี่...เออ รู้อยู่ตรงนี้
แต่ไม่ใช่ว่านั่งๆ อยู่ แล้วคิด “เอ๊
รู้อยู่ตรงไหนวะ” แล้วจะไปกำหนดขึ้นมา มันไม่ใช่ อันนั้นไม่ใช่ ...ถ้าอยากรู้ก็เห็นว่า
“ใคร” รู้ว่าอยากรู้ ...นั่น มันรู้จริงๆ ต้องให้รู้จริงๆ
หรือว่าง่ายๆ เลยว่า เรากำลังนั่ง..ก็รู้ว่านั่ง
นั่นแหละ “รู้” มาแล้วๆ นี่ รู้จริง ...พอรู้ว่านั่งแล้วเพลินคิดไปว่า “เฮ้ย
ตรงนี้รู้รึเปล่า หรือว่านี่ รู้อยู่ตรงนี้ เอ๊ะหรืออยู่ข้างบนหัว”
(หัวเราะกัน) อันนี้ไม่ใช่รู้แล้ว อันนี้มั่วแล้ว มั่วๆ รู้ไม่จริง
เพราะนั้นถ้ารู้จริงก็...นั่งแล้วรู้ว่านั่ง
นี่รู้ลงไปในปัจจุบันเลย มันก็รู้อยู่ตรงนั้น รู้ปรากฏแล้ว นี่ รู้อย่างนี้ รู้ไป นั่งรถอยู่เผลอเพลิน มันหลงก็รู้ว่าหลง รู้ก็อยู่ตรงหลงนั่นแหละ มันอยู่ตรงนั้น
ไม่ใช่ไปสร้างเป็นนิมิตของรู้ขึ้นมา
แล้วก็...เออ นี่ลักษณะนี้ เดี๋ยวกูวงไว้ ...แล้วก็ควับเลยนี่ แล้วก็นั่งถือรู้ ประคองรู้ไปทั้งวันอย่างนั้น...ไม่ใช่ เป็นนิมิตน่ะ ไม่ใช่ มันไปคะเนเอาในรู้ ในใจ
ใจไม่ใช่การคาดการคะเน การเดา
การสุ่ม การมั่ว ...แต่มันคือการรู้จริงๆ รู้ลงไปในปัจจุบัน กายรู้สึก เย็นร้อนอ่อนแข็ง
ใครรู้ล่ะ..อยู่ตรงนั้น ใครเห็นล่ะ..อยู่ตรงนั้น ...นี่เขาเรียกว่ารู้ตรงๆ
รู้มันก็เกิดขึ้นทุกขณะนั่นแหละที่มีการระลึกสติขึ้นมา
หรือเจริญสติขึ้นมา รู้ก็จะอยู่...มันจะแยกออกเป็นสองส่วนทันที
ให้เห็นตรงนั้นเลยว่า รู้เป็นสิ่งหนึ่ง...สิ่งที่ถูกรู้เป็นสิ่งหนึ่ง
แล้วก็อยู่อย่างนั้นแหละ
ทำความรู้ชัดอยู่ในของสองสิ่งตรงนั้นบ่อยๆ แล้วมันจะจดจำสภาวะรู้ได้ ...พอมีอะไรปุ๊บ
มันจะหยั่งลงที่นั้น หยั่งลงที่รู้เลย
จากนั้นอาการเห็น สัมปชัญญะที่เห็น
บางลักษณะที่มัน...ตัวตนที่ปรากฏนั้นๆ มันมีเหตุปัจจัยต่อเนื่อง คือการดำรงอยู่มันเป็นช่วงระยะเวลาที่ว่ายาวนาน
มันก็จะเห็นอาการด้วยความเป็นกลาง
แต่ถ้าช่วงไหน
เหตุไหน การปรากฏก่อตัวของอัตตานั้นเกิดแค่ขณะเดียว มันก็จะเห็นความดับไปในขณะนั้น ...เพราะนั้นไม่ต้องไปเดือดร้อนกับมัน
ถ้ามันยังตั้งอยู่
ก็ดูไปด้วยความเป็นกลางว่า...อะไรตั้งอยู่ มึงเป็นใคร มึงไม่ใช่กู กูไม่ใช่มึง
มึงไม่มีชีวิต มึงเป็นแค่สิ่งหนึ่ง ...นี่ดูด้วยความเป็นว่าไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่บุคคล
ในการดำรงอยู่แห่งอัตตาตัวตนนั้นๆ ไม่ใช่ตัวเรา ...คือตัวของมัน นั่นน่ะคือตัวตนที่แท้จริง
คือเป็นตัวตนธรรมชาติของมันเอง ไม่ใช่ของใคร ...แล้วมันก็ดับ
สุดท้ายก็เห็นจุดจบของมันคือความดับไป
เพียรเพ่งอยู่ในกิจการ
การงานเช่นนี้แหละ ถึงเรียกว่าเป็นสัมมาอาชีโวอยู่ภายในอย่างนี้ ...เรื่องข้างหน้า
เรื่องคาดเรื่องฝันหวานอะไรไปในธรรม จะได้นั่น จะเป็นถึงนี่ ...ฟุ้งซ่าน บอกให้เลยฟุ้งซ่าน
พอรู้ตัวแล้วก็ละเลย ทิ้งเลย
กลับมารู้ตรงๆ ตรงนี้เลย ...อยู่กับรู้ อาศัยรู้เป็นสรณะ อาศัยรู้เป็นที่พึ่งที่อยู่ที่อาศัย
นั่นแหละ จึงเรียกว่าเป็นผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
ไม่ใช่ปฏิบัติธรรมแบบเพ้อฝันเพ้อเจ้อ ...พรุ่งนี้จะเป็นยังไง
เดือนหน้าจะดีขึ้นมั้ย การงานจะเป็นยังไง ภาวนาตอนที่มีงานอย่างนี้อย่างนั้นจะดีมั้ย ...เพ้อเจ้อ อย่าไปเพลินไปกับมัน
กลับมารู้ว่ายืน หรือเดิน หรือนั่ง
หรือนอน หรือเจ็บ หรือปวด หรือเครียด หรือกังวล หรือว่าสุข หรือว่าทุกข์
ให้เห็นลงไป อะไรก็ได้ ที่มันโผล่หน้าขึ้นมา ผุดโผล่ขึ้นมาเป็นปัจจุบันธรรม
หรือว่าอัตตาที่ก่อเกิด
ไม่ต้องแยก ไม่ต้องคัด ไม่ต้องเลือก ...มันปรากฏยังไงก็อย่างงั้นน่ะแหละ
เรื่องของมึง เรื่องของอัตตา
เรื่องของตัวตน ไม่ใช่เรื่องตัวเรา มันเป็นเรื่องของตัวตน
ขันธ์ก็คือตัวตน ไม่มีตัวตนมันไม่มีขันธ์ ขันธ์คือตัวตน ทุกอย่างนี่คืออัตตาหมดเลยนี่ ...นี่ คือการก่อเกิดขึ้น การตั้งอยู่ มันเป็นอัตตาที่รวมตัวกันขึ้นของสังขารธรรม
สังขารขันธ์ สังขารธาตุ
มันก็รวมเข้ามาเป็นสิ่งหนึ่งๆๆ ขึ้นมา
นี่ ทุกอย่างมันจับต้องได้...แต่มันเป็นอัตตาธรรมชาติ ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา ...แต่ความไม่รู้ต่างหากที่มันจะไปหลงในอัตตานั้น
อย่างว่า “รถของเรา” อย่างเนี้ย ...ก็จริงๆ
รถคือรถ ไม่ใช่ไม่จริงนะ มันมีจริง มันตั้งอยู่จริง แต่ไม่ใช่ของใคร เป็นของมัน ...แต่เราไปหลงว่านี่เป็นของเรา
นี่เขาเรียกว่าหลงในอัตตา
หลงอัตตานี้เป็นของเรา เป็นตัวเรา …แต่อัตตามีจริงนะ
ถ้ามีไม่จริงก็ขับไม่ได้สิ มันขับได้ มันใช้ได้ ...นี่คือมันตั้งอยู่นี่
แต่ว่ามันตั้งอยู่บนความว่างเปล่า
ไม่ใช่ว่าว่างแบบ...เฮ้ย นั่งไป
เอ้า ทะลุเลยโว้ย รถไม่มีประตู ไม่มีอะไร ...ไม่ใช่ว่างอย่างนั้น ..."เนี่ย กูจะขับมาได้ยังไงถ้ามันว่าง ก็มันไม่ว่างกูถึงขับมาได้ ไม่เห็นมันว่างเลย" ...ไม่ใช่มันว่างอย่างนั้น
ที่ว่าว่างคือ ...กูนั่งมานี่ มันไม่เห็นบ่นเลย
ทำไมมันไม่ถีบกูลง...ว่ามึงนั่งเกิน ๑๐ คน มึงนั่งมาได้ยังไง
เพราะกูสร้างมาให้นั่งแค่ ๕ คน ...เห็นมั้ย มันไม่ว่านี่ ...นี่มันว่างเปล่าไหมล่ะ
มันไม่ได้มีเจตนาเป็นคุณเป็นโทษ
เป็นดีเป็นร้าย หรือว่าครอบครองว่า...กูให้นั่งได้ ๕ คนเท่านั้นนะ
มึงบังอาจมานั่ง ๖ คน กูไม่ยอมเปิดประตูให้ ...เห็นมั้ย
นี่คือความว่างจากความเป็นสัตว์และบุคคลต่างหาก
เพราะนั้นเรานั่งอยู่บนของที่มันว่าง...ว่างเปล่าจากความหมายในตัวของมันเอง ...นี่พูดถึงข้างนอก ...แล้วก็เหมือนกันน่ะ
ขันธ์นี่เหมือนกัน เหมือนรถนี่ ขันธ์ก็เหมือนรถนี่
เวลาเรานั่งในรถนี่
ก็เหมือนกับกบในกะลา เวลาเราอยู่ในกายนี่ก็เหมือนกบอยู่ในขันธ์ อ๊บๆๆๆ อยู่นั่นน่ะ
จิตสังขาร อย่างนั้นอย่างนี้อย่างโน้น วิพากษ์วิจารณ์อย่างโง้นอย่างงี้ไปเรื่อย
ตบโหลกมัน...บ่นมาก ตบโหลก ตบหัวมัน
อย่าเผยอ อย่าอ้าปาก ...นี่ ทัน สติทัน มันก็ดับหมดน่ะ
ไม่บ้าบอคอแตกกับการเสกสรรบรรเจิด กระเจิดกระเจิงไป ปรุงแต่งไป หาเรื่องไป
มันเขียนเรื่องสั้นน่ะ หรือบางทีไม่เป็นเรื่องสั้น ก็เป็นมินิซีรี่ส์ มีหลายตอนเลยนะ ...จิตน่ะมันไปเรื่อย คิดปรุง อยู่เฉยๆ ไม่เป็น ...หาเรื่อง มันเหงา มันเคยชิน
มันสร้างตัวตนใหม่ๆ ขึ้นมาอยู่เสมอ มันวิ่งไปหาตัวตนใหม่ๆ มาครอบครอง ...เหมือนมีรถยี่ห้อใหม่ น่าจะดีกว่ามั้ย
ที่ใช้อยู่มันน่าเบื่อแล้ว มันเซ็งแล้ว...คือเวทนาที่มันคุ้นเคยมันก็จำเจไง
แล้วก็พอมันจะหาสิ่งแปลกใหม่ขึ้นมาปุ๊บ
มันก็มีการทะยานไปข้างหน้า อนาคต ...แล้วมันก็เทียบกับปัจจุบัน เทียบกับอดีตที่ใช้มา...เนี่ย มันไม่ได้เรื่องเลย
แน่ะ จิตน่ะ
ความปรุงแต่ง มันจะวิ่งออกไปอย่างนี้ มุ่งออกไปๆ มันไม่หยุดอยู่ตรงนี้ …ถึงว่าจิตมันเกิดอยู่ตลอดเวลา...ด้วยความไม่รู้นี่
มันพาเกิดพาตาย
มันเกิดตายที่ไหน
การเกิดการตายมันเกิดเริ่มต้นจากที่ไหน...ดูดีๆ ...ไม่ใช่ว่าอยู่ที่โลงศพหรืออยู่ที่ท้องแม่เป็นที่ตั้งของการเกิด ...มันเริ่มจากตรงนี้ เริ่มจากจิตนี่...พาเกิด
จิตนี่พาเกิด จิตก็พาไปตาย จิตพาไปหาสุข จิตพาไปหาทุกข์ ...เพราะนั้น
ถ้าเท่าทันตรงนี้ เท่าทันจิตสังขารนี่ ท่านถึงบอกว่า...นี่ จะหลุดพ้นจากบ่วงมาร
แต่เราจะไปดูจิตอย่างเดียวน่ะ
ดูไม่ทันหรอก มันต้องมีฐานรู้ฐานเห็นอยู่ ...ถ้าฐานนั้นสลายหายไป ก็น้อมลงมาที่กาย
อาศัยกายเป็นเครื่องระลึกรู้ แล้วก็ทำความแจ้งในกายไปในตัวเสมอ เนืองๆ เป็นนิจ
ความวิมุติ
ความหลุดพ้นจากก้อนธาตุกองขันธ์นี้ มันก็จะมากขึ้นไปเอง ...ไม่ต้องไปร้องอ๊บๆ
เรียกหาอะไร หรือไปบ่นไปโทษอะไรใคร มันอยู่ที่ว่า...ธรรมใครธรรมมัน
รู้ใครรู้มัน
ใครมีความเพียรเพ่ง รักษาใจได้ต่อเนื่อง เนืองๆ เป็นนิจ สามารถดำรงซึ่งความเป็นกลางอยู่ภายในได้ชัด ต่อเนื่อง นั่นแหละ การจางคลายมันเกิดเอง
ความเข้าใจในธรรมทั้งหลายทั้งปวงมาเอง ความรู้เห็นในธรรมตามจริงเกิดเอง เข้าใจเอง
การรู้เห็นธรรมตามจริง...ก็ไม่มีอะไรหรอก
มีแค่เกิดแล้วก็ดับ นั่นแหละเป็นธรรมตามจริง ...ไม่มีอะไรพิเศษกว่านั้นหรอก
ไม่มีอะไรลึกลับซับซ้อนมากกว่านั้นหรอก
แค่ใจมันเข้าไปยอมรับความเกิดขึ้น
ตั้งอยู่ชั่วคราว แล้วดับไป นี่...คือสุดยอดของการเห็นของธรรมแล้ว เพราะไม่มีอะไรสุดยอดกว่านี้แล้ว ...นอกนั้นมันปรุงแต่ง make เอา fake เอา
ตามตำราบ้าง ตามคำเสียงลือเสียงเล่าอ้างบ้าง เชื่อไปเรื่อย
ให้ความสำคัญไปเรื่อยกับเหตุกับผล กับการวิเคราะห์วิตกวิจาร กับการได้รู้ได้เห็น กับสิ่งที่ได้รู้สิ่งที่ได้เห็น
...มันก็เลยหาที่จบไม่ได้
เพราะนั้นเริ่มต้นที่รู้
นี่สัมมาทิฏฐิ เริ่มต้นที่รู้...สุดท้ายจบลงที่รู้ เห็นมั้ย
จุดเริ่มต้นกับจุดสุดท้ายนี่จุดเดียวกัน สุดท้าย-เริ่มต้นก็เริ่มจากรู้
อะไรเกิดก็รู้ อะไรเกิดก็เห็น
สุดท้ายมันรู้เห็นไป
แล้วเห็นสิ่งที่ถูกรู้ถูกเห็น ว่าไม่มีอะไร ไม่ควรค่าแก่การถือครอง ครอบครองไม่ได้
สุดท้ายมันก็เหลือแค่รู้เปล่าๆ ...เห็นมั้ย เริ่มต้นจากรู้
สุดท้ายก็กลับมาอยู่แค่รู้
ไม่เห็นมันยาก ไม่เห็นมันมีวิธีการเลย
ไม่เห็นมีอุบายใดๆ เลย ไม่เห็นต้องไปทำอะไรเลย ...พระพุทธเจ้าท่านสอนง่ายจะตาย
คนทำน่ะไปทำตามยากเอง
เหมือนเขียนเสือให้วัวกลัว เสียงลือเสียงเล่าอ้าง
ต้องอย่างนั้นต้องอย่างนี้ แทบจะต้องบูชายัญกันเลยน่ะ ต้องมีการติดสินบาตรคาดสินบนกันเลย
เอาบุญมาเป็นเครื่องล่อ เอาบาปมาเป็นเครื่องห้าม
เอาวัตรปฏิบัติมาเป็นมรรค นั่น
ว่ากันไป มรรคมันก็เยอะแยะไปหมดน่ะถ้าเอาวัตรมาเป็นข้ออ้าง
อย่างนั้นอย่างนี้อย่างโน้น ห้ามนั้นเว้นนี้ ทำนั้นทำนี้ก่อน ...กว่าจะเริ่มนั่งสมาธิได้ โอย กูเหนื่อยแทบตายเลย
กว่าจะตรงตามข้อวัตรน่ะ...ทั้งวันน่ะ ได้นั่งสมาธิสักครึ่งชั่วโมง โหย กว่าจะได้นั่ง เพราะมัวไล่ทำข้อวัตรนี่ ...ไม่ถูกข้อวัตรนี่เขาไล่กูลง เดี๋ยวเขาบอกว่า อยู่ไม่ได้ สถานที่นี้ไม่ต้อนรับ
ใช่มั้ย
เอ้าไปอีกที่หนึ่ง
ข้อวัตรก็เปลี่ยนอีกแล้ว ต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้ ต้องอย่างโน้นถึงจะสอน ถ้าอยากเรียน
ทำได้ก็เอา ...นีี่ ทำไมขั้นตอนมันเยอะไปหมด
มันสับสนอลหม่านหากายหาใจไม่เจอเลย
แล้วไอ้ตัวที่ทำวัตรอยู่น่ะ...ใครทำ
ไอ้ตัวที่กำลังปฏิบัติในวัตรนี่มันตัวอะไร ทำไมไม่เห็น ทำไมไม่รู้ ทำไมไม่เห็นว่ามันอยากได้ มันอยากมี
มันอยากเป็น ...ใครอยากมี ใครอยากเป็นล่ะ ..."เรา" รึเปล่า
แล้วมันอยู่ตรงไหน เราอยู่ไหน
ดูหน้าดูตามันหน่อยซิ มันมีหน้ามีตา มีหนวดมีผมมั้ย เหมือนเรามั้ย ...แล้วบอกว่าเป็นเราๆๆๆ อยู่นั่น
หน้ามันเป็นยังไง หือ
ทำไมไม่ดู ...มันจะไปหาดูอะไรกันอยู่ จะไปหาอะไรทำกัน ...มันมีให้เห็นอยู่ ทำไมไม่ดู เนี่ย หน้ามันเหมือนเราจริงๆ ไหม ไอ้ที่ว่าตัวเราๆ มันอยู่ไหน
นี่ หาไม่เจอหรอก จับก็ไม่ได้ ...จับไม่ได้แล้วยังไปให้ความสำคัญอะไรกับมันนักหนา ไปเชื่ออะไรมันล่ะ มันเชื่อไม่ได้ ...เชื่อได้แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้นตั้งอยู่แค่นั้นแหละ แล้วก็เห็นว่ามันดับไป
ทุกอย่างนี่...ลงถังขยะใบใหญ่คือไตรลักษณ์นั่นแหละ
ไม่มีหลุดพ้นไปหรอก ...เพราะนั้น อย่าไปติดอะไร ...ติดอะไรข้องอะไรคือไปเที่ยงอยู่กับมัน ก็อย่าไปเที่ยงกับมัน
มันไม่เที่ยงให้กับเราหรอก
.....................................