วันพฤหัสบดีที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2559

แทร็ก 5/25 (3)


พระอาจารย์
5/25 (541111C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
11 พฤศจิกายน 2554
(ช่วง 3)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 5/25  ช่วง 2

พระอาจารย์ –  นั่น กำราบจิตไว้ ด้วยสติสมาธิปัญญา...คือทัน อย่าให้มันเยิ่นเย้อยืดเยื้อยาวไกลออกไป ...ให้มันสั้นๆๆๆ  รู้ๆ เห็นๆ แค่รู้แค่เห็น จนเหลือแค่รู้แค่เห็นเท่านั้น สบาย

เรียกว่า สีเลนะ โภคะสัมปะทา  สีเลนะ นิพพุติง ยันติ  ตัสมา สีลังวิโสธะเย  ความเป็นปกติของใจที่รู้เห็นอยู่ด้วยความเป็นธรรมดานั่นแหละ คือ นิพพุติง ยันติ ตัสมาสีลัง วิโสธะเย

เพราะนั้น ทั้งหมดทั้งหลายทั้งปวงนี่ เพื่อกลับมาสู่ใจรู้ใจเห็นเป็นปกติ ...รับศีล พระให้ศีลให้พรก็ยังไม่เข้าใจ ว่าศีลนี้แหละเป็น นิพพุติง ยันติ ตัสมา สีลัง วิโส ...ศีลวิสุทธิ เป็นที่สุดของใจ

แค่รู้ง่ายๆ นี่ รู้เห็นธรรมดานี่แหละ ธรรมดามากๆ ...ไม่มีหน้าตา ไม่มีสีสัน ไม่มีวรรณะ ไม่มีคุณวุฒิ ไม่มีคุณสมบัติ ไม่มีปริญญาตรีโทเอก ไม่มีว่าจบสถาบันไหน

คือมันมีแต่รู้ๆๆๆ เห็นๆๆๆ ธรรมดามากๆ เลย เห็นมั้ย ...ไม่ใช่จุฬา ไม่ใช่ ม.ช. ไม่ใช่ธรรมศาสตร์ พยาบาลก็ไม่ใช่มหิดลหรือจุฬาดี ...เห็นมั้ย มันไม่มีสถานะ ...มันมีแต่รู้ๆๆ ง่ายๆ

นั่นแหละคือความเป็นปกติของใจ นั่นแหละคือธรรมชาติสูงสุดของใจ นั่นน่ะคือธรรมชาติที่แท้จริงของใจ ...นอกนั้นไม่ใช่ใจ  นอก... “นี้” ...ไป ไม่ใช่ใจ

แล้วจะไปเอาดำเอาดี เอาห้าเอาสิบอะไรกับมัน ...ถ้านอกจากนี้ไม่ใช่ใจแล้วมันอะไร...ไตรลักษณ์ เกิดกับดับ ก็แค่นั้น ...มันหลงกับของเกิดๆ ดับๆ

มาดีอกดีใจ น้ำหูน้ำตาไหลกับเกิดๆ ดับๆ นี่แหละ ...คนนี้ตาย คนนี้เกิด  เกิดก็ดีใจ ตายก็ร้องไห้  ได้ก็ดีใจ เสียก็เสียใจ ...มาดีใจเสียใจคือของเกิดๆ ดับๆ ไม่แน่ไม่นอน


โยม –  วันนี้ไปกราบหลวงปู่มาเจ้าค่ะ ท่านพูดถึงยานิกธรรมเจ้าค่ะ  ในความหมายจริงๆ คือยังไงเจ้าคะ หนูก็ปัญญาน้อย

พระอาจารย์ –  นิยานิกธรรมนี่เป็นภาษา คือเป็นธรรมที่ไม่ตาย เป็นธรรมอมตะธรรม เป็นธรรมความจริงสูงสุด อะไรก็ได้ ก็คือความหมายทำนองประมาณนั้น

ไม่ใช่เป็นธรรมที่เกิดจากความปรุงแต่ง หรือว่าเป็นแค่สังขารธรรม ...พูดง่ายๆ เป็นธรรมที่เป็นสัจจะจริงๆ ไม่มีอะไรมาคัดง้างได้ ไม่มีเวลา ไม่มีตาย


ต่อไป โลกนี่อยู่ลำบาก ถ้าไม่มีที่พึ่งที่แท้จริงคือใจ ...แม้แต่นักปฏิบัติ ถ้าไม่มีที่พึ่งที่แท้จริงนี่ ก็ยังลำบาก ...ลำบากหู ลำบากตา ลำบากใจ ลำบากทั้งนั้นน่ะถ้าไม่มีที่ตั้งที่ดี


โยม –  วันก่อนหนูไปฟังอบรม ก็ไม่ได้ขัดแย้งนะเจ้าคะ ก็ฟัง อย่างเขาว่า...คุณต้องใช้พลังแห่งความคิด คุณจะต้องคิดในทางที่ดีๆ และสิ่งนั้นจะเกิดขึ้นกับคุณ 

เราก็ฟังเจ้าค่ะหลวงพ่อ แต่ว่าวิถีที่ครูบาอาจารย์สอนกับที่เราค่อยๆ เดินน่ะ เราก็ไม่เอากับคิดน่ะ ก็เลยรู้สึกว่าฟังไปเถอะ โลกเขาสอนอย่างนี้กันมา แต่เราก็รู้ว่าวิธีทวนกระแสก็มีแค่กลับมาตรงนี้

พระอาจารย์ –  (หมายเหตุ : ขณะที่กล่าวถึงคือช่วงน้ำท่วมเมื่อปี 2554) ...ก็ลองไปบอกไอ้คนที่น้ำท่วมนะ “คิดดีเข้าไว้ อย่าไปคิดไอ้เรื่องที่น้ำท่วมนะ คิดดีเข้าไว้” มันอยู่ได้มั้ย มันช่วยได้มั้ย 

ไม่มีนะ บอกให้เลย อยู่ไม่ได้นะ ...ถึงวาระจริง เหตุจริง วัน ณ เวลา ณ เช่นนั้นน่ะ มันทนทุกข์ทรมานแสนสาหัส ...ไอ้ที่พูดสวยหรูตอนนี้ก็คือมันนั่งฟังในห้อง  เออ เคลิบเคลิ้มดี คิดว่าน่าจะใช้ได้ เห็นมั้ย

แต่พอถึงสภาวะจริงแล้ว ไปคิดดีตอนนั้น ไปเอาความเห็นดีแต่เก่าก่อนมา เอาบุญกุศลมาช่วยตอนนั้นน่ะ... เคยทำบุญมาเท่าไหร่ เคยใส่บาตรมากี่หน เคยกราบพระอรหันต์มากี่องค์

เจอน้ำท่วมนี่ นอนอยู่แช่น้ำ ขาแช่น้ำ เดินลุยน้ำนี่  มันไม่มีรู้สึกเป็นบุญเป็นกุศลหรอก บอกให้ ...จิตมันเสวยทุกข์เต็มๆ

แต่ถ้าฝึกในลักษณะของสติสมาธิปัญญานี่ มันมีรู้อยู่ที่ไม่เกิดไม่ดับ มันมีรู้อยู่ในทุกสภาวการณ์ มันเห็นอยู่ ...มันก็จะอยู่ที่รู้ที่เห็นนั้นน่ะ...ได้มากได้น้อยตามกำลังของสติปัญญาผู้ที่อบรมนั้น

ตัวนี้จะเป็นตัวช่วย ตัวนี้จะเป็นฐาน ตัวนี้จะเป็นที่ยึดที่อยู่ เป็นที่พึ่ง ...ไม่ใช่ที่ยึดนะ แต่เป็นที่พึ่งเลยแหละของสัตว์โลก

เพราะนั้นไอ้อย่างอื่นน่ะ ของหลอกเด็ก บอกให้ แล้วก็โดนเด็กหลอก แล้วก็เอาของหลอกของเด็กน่ะมาเป็นจริงจัง ...เยอะแยะธรรมปฏิรูป ธรรมะเคลือบแคลง ธรรมะที่ยังไม่ใช่แก่น มันก็หลากหลายไปหมด

แต่ธรรมะที่เรียบง่ายแต่จริง...มีอยู่ ทำได้จริง เห็นได้จริง รู้ได้จริง ในทุกเวลา ทุกขณะ โดยที่ไม่ต้องทำ ...มันมีอยู่แล้ว ธรรมนี่มีอยู่แล้ว ทั้งฝ่ายที่ถูกรู้ ทั้งฝ่ายที่รู้ บอกให้เลย

นี่ ของจริง คือของที่มีอยู่แล้ว เป็นสัจจะ ...ไม่ใช่ต้องไปค้น ต้องไปสร้าง ต้องไปหาขึ้นมา

เพราะนั้น มีเครื่องมือที่ถูก ที่ตรง ที่ใช่...เรียกว่ามรรค หรือว่าสติสมาธิปัญญาแล้วนี่ ...มันก็หยั่งลงไปที่กายใจได้ เดี๋ยวนั้น ขณะนั้น ตอนนั้น ...ทุกเวลา 

นั่นแหละที่พระพุทธเจ้าท่านพร่ำสอน แนะนำ...เป็นหลัก คือหลัก นี่คือแก่น ...นอกนั้นไปก็เป็นไปตั้งแต่เปลือก กระพี้ ยันราก ใบ

แต่แก่นน่ะ กว่าจะถึง ...ขนาดญาณทัสสนะนี่ พระพุทธเจ้ายังเรียกว่ากระพี้เลย  ความรู้ความเห็น ใจรู้ใจเห็นไตรลักษณ์นี่ ยังเป็นกระพี้อยู่เลย

เพราะนั้นการเข้าถึงแก่นน่ะ ถึงใจจริงๆ หรือว่าเห็นใจ หรือว่าเชื่อมั่นมีศรัทธาที่ใจจริงๆ นั่นน่ะแก่น ...แก่นธรรมที่อยู่ที่ใจ อยู่ที่หลัก เข้าถึงหลัก เข้าถึงแก่น เข้าถึงใจนั่นน่ะ โดยที่ไม่หวั่นไหว ไม่หาที่พึ่งอื่น

ใจรู้ใจเห็น สิ่งที่รู้สิ่งที่เห็น เห็นไตรลักษณ์แล้วนี่ ...บางทีมันยังไม่ยอม ยังไม่เชื่อเลย มันก็ยังเป็นกระพี้ ...แต่อาศัยกระพี้นั่นแหละที่มันห่อหุ้มใจอยู่ สุดท้ายมันก็ออกมาตายรัง

คือมีแต่ใจรู้ใจเห็นอย่างเดียวเท่านั้นที่ไม่ตาย ที่ไม่เกิด ที่ไม่ดับ ที่ไม่ขึ้น ที่ไม่ลง ที่ไม่ซ้าย ที่ไม่ขวา ที่ไม่มาก ที่ไม่น้อย ที่ไม่เปลี่ยน ...อาจลศรัทธาจะเกิดตรงนั้น

อาจลศรัทธา คือศรัทธาที่ไม่ใช่เป็นศรัทธาหัวเต่า เข้าๆ ออกๆ เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง เดี๋ยวก็เปลี่ยน  อารมณ์ดีก็เชื่อ อารมณ์ไม่ดีก็ไม่เชื่อ ...นี่ อย่างนี้เขาเรียกศรัทธาหัวเต่า

แต่อาจลศรัทธา นี่คือศรัทธาแบบแนบแน่น เป็นศรัทธาในธรรมตามความเป็นจริง  มันเป็นอาจลศรัทธา ...คือหมดจิตหมดใจเลย ไม่เชื่ออันอื่น 

มันเข้าไปอยู่ในหลักเดียวเท่านั้น คือหลักใจ ...สีสันไม่เอา ขอบตาทาอายแชโดว์ไม่เอา  ตาคือตา ขนตาไม่เอา อายแชโดว์ไม่เอา เกล็ดเพชรเกล็ดพลอยประดับ...ไม่เอา 

เนี่ย พวกนี้มันดูดีนะๆ ดูงดงามขึ้นนะ ...แต่มันเป็นของฉาบทา เครื่องฉาบทา อาจจะช่วยให้ดูดีบ้าง แต่งไม่เป็นก็ดูไม่ดี แต่งเป็นก็ดูโฉบเฉี่ยว สวยงาม อ่อนหวาน หยาดเยิ้ม ...ได้ทั้งนั้น 

แต่มันไม่ใช่ตา ...ทั้งหมดน่ะแหละ เป็นอย่างนั้น ...เพราะนั้นหลักคือใจ ใจมันมีอยู่แล้ว นอกนั้นเติมขึ้น ...ถ้าไม่เขียนใส่มันก็ไม่มี...อายแชโดว์น่ะ

ถ้าไม่มีความรู้ความเห็น หรือได้ยินได้ฟังมาแล้วเกิดความศรัทธาเชื่อถือในการที่ว่าถ้าเติมแล้วจะดูดีขึ้น แน่ะ มันก็ไม่ไปทำ ...นั่นคือศรัทธาหัวเต่า 

เหมือนสมัยก่อนเขาทาตาสีดำกัน พอเขาบอกว่า สีน้ำเงินดีกว่าสีดำนะ เออ นี่ความเห็นใหม่ อย่างนี้ มันต่างกันไปตามยุค ตามเทรนด์ ตามสมัย

แต่ตาคือลูกตาวันยันค่ำแหละ แก้ไม่ได้ มันมีอยู่อย่างนั้น เห็นอยู่เหมือนเดิม อยู่อย่างนั้นน่ะ ...เพราะนั้นทุกอย่างมันจะสงเคราะห์ลงที่ใจได้หมด บอกให้เลย ในทุกอากัปกริยา

ไม่รู้น่ะ มันไม่มีอะไรที่เอาใจมาเทียบเคียงไม่ได้เลย  เพราะใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน สำเร็จได้ด้วยใจเท่านั้น ...นี่ ใจมันเชื่ออย่างนั้น มันเห็นอย่างนั้นจริงๆ 

แล้วอะไรมาคัดง้างใจไม่ได้เลย ...มันเห็นไปหมดเลยว่า ทุกอย่างน่ะ ของเด็กเล่นหมด ...ทิ้งเลย ไม่เสียดาย  ทิ้งแบบไม่เสียดายนะ

แต่ถ้าใช้อายแชโดว์เขียนทุกวัน แล้วจะให้ไม่เขียนนี่ ...มันรู้สึกขาดอะไรไป ใช่มั้ย มันรู้สึกไม่มีความมั่นใจในตัวเองเลย หรือว่ากลัวว่าคนอื่นเขาจะว่าเอา อะไรอย่างนี้

นี่ประเพณีนิยม สีลัพพตปรามาส ...ก็คือคนในโลกเขาทำ ก็เลยต้องทำ  ไม่งั้นเดี๋ยวเขาว่า เอ๊ะ ตัวประหลาดมาแล้วโว้ย ...เนี่ย ความเชื่อ มันผูกไว้ มันเป็นโซ่ มันเป็นเชือกร้อยรัด

ความเห็นน่ะเป็นเชือกเป็นโซ่ร้อยรัด จะละก็ไม่กล้าละ ...เสียดาย เสียดายความคิดความเห็นนั้น เสียดายรูปแบบการกระทำนั้น เสียดายวิธีการนั้น เสียดายแนวทางนั้น

มันเลยละล้าละลัง จับปลาสองมือ  มันไม่เด็ด มันไม่ขาด ...ถ้าเด็ดให้ขาดน่ะ หน้าด้านหน้าทน คือรู้ลูกเดียว อย่างอื่น...ไม่สน

เนี่ย เขาเรียกว่าอาจลศรัทธา มีอยู่แต่ในพระอริยะขึ้นไป ...ความเข้มแข็งมั่นคงในใจดวงเดียวนั่นแหละ...มาก-น้อยตามลำดับลดหลั่นกันลงไป

ถ้าทิ้งได้โดยไม่อาลัย เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  พูดเสร็จปุ๊บเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นนั่นน่ะ ...ด่าปุ๊บ ไปเลย ปั๊บ ใจนี่ไม่มีกระดิกเลย ไม่มีกระเพื่อม ...นี่ถูกเขาด่าด้วยนะไม่ใช่ด่าเขาอย่างเดียวนะ

ถูกเขาด่านี่พึ่บไปเลย หันหน้าไปใจไม่มีกระดิกเลย ไม่กระเพื่อมเลย ...ไม่ได้บังคับ ไม่ได้กดข่มด้วย  แต่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

อย่างงั้นแหละ ใจที่มันถอดถอนแล้วนี่ ตามกำลังปัญญา ...ก็ฝึกไป



.................................