วันพฤหัสบดีที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2560

แทร็ก 5/32


พระอาจารย์
5/32 (541129C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
29  พฤศจิกายน 2554


พระอาจารย์ –  กิเลสอาสวะนั่นน่ะเหมือนไวรัสคอมพิวเตอร์ มันปนเปื้อน มันแปดเปื้อน มันปกคลุมอยู่นั่นน่ะ ...ก็ต้องหมั่นฟอร์แมท ชำระ 

เพราะนั้นจะเอาอะไรที่เป็นแอนตี้ไวรัสล่ะ ...นั่นคือสติสมาธิปัญญา คอยระวังเท่าทัน

แล้วทำไมมันถึงติดไวรัส ...เพราะมันไปเสิร์ชข้อมูล มันไม่กลั่นกรองข้อมูล  เขาว่าดี เขาว่าใช่ ก็เอาเก็บมาเข้าห่อเข้าพกหมด ลงฮาร์ดดิสก์

ฮาร์ดดิสก์คืออะไร...ระบบสัญญาความจำ ...หารู้ไม่ว่า มันเป็นเชื้อไวรัสเกาะกุม ทำให้รวนไปหมด เวลาล้างมัน จะฟอร์แมทน่ะยังต้องไม่เสียดายข้อมูลเลย 

เสียดายมั้ย ...เสียดายอารมณ์มั้ย เสียดายความจำได้หมายรู้มั้ย เสียดายความรู้สึกที่เคยได้เคยมีเคยเป็นมั้ย เก็บไว้มากมันเออเร่อนะ เออเร่อก็คือวิปลาส คลาดเคลื่อน ทำไปเรื่อย ข้อมูลมันพันกันไปหมด

เพราะนั้นมันต้องกลั่นกรอง...แอนตี้ไวรัส สติ เห็นรู้ว่าเห็น ได้ยินรู้ว่าได้ยิน ได้กลิ่นรู้ว่าได้กลิ่น ได้รสรู้ว่าได้รส คิดรู้ว่าคิด สุขรู้ว่าสุข ทุกข์รู้ว่าทุกข์

ไม่ว่ามันมีอะไรเกิดขึ้น รู้ตรงนั้น ขณะนั้น นี่สติน่ะ ...รู้แล้วยังไง ปั๊บ ดับ ไม่มีอะไร มันดับตรงนั้นแหละ ...ถึงไม่ดับก็รู้อยู่เห็นอยู่ ดับเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น จบ ปึ้บ

นั่น ใจมันชัทดาวน์ของมันเอง ไม่รับข้อมูลแล้ว เพราะมันไม่ได้เก็บอะไรมาเป็นสัญญาอารมณ์ 

เนี่ย คน..มนุษย์นี่มันติดในสัญญานี่มาก เป็นของที่ละได้ยาก บอกให้ มันยากที่สัญญาความจำได้นี่แหละ 

ได้ยินเสียงเขาพูด...ชมก็ตาม ด่าก็ตาม ...ถ้ามีสติรู้อยู่ตรงนี้นะ ตรงที่ได้ยินเป็นขณะๆๆ นะ ไม่มีอะไรหรอก อารมณ์ก็ไม่มี ดีใจเสียใจก็ไม่มี ...มันมีแต่เกิดกับดับ เกิดแล้วก็ดับๆ อยู่ตรงนั้น

แต่ถ้าฟังแบบเอ้อระเหยลอยชาย หรือฟังด้วยความประมาทเผลอเพลิน หรือว่าเห็นด้วยความประมาทเผลอเพลินน่ะ ...มันลงเมมโมรี่ไว้แล้ว

กลับถึงบ้าน หรือไปถึงที่ทำงาน มันลอยขึ้นมา เป็นสัญญาภาพ...เป็นภาพสัญญานะ เป็นภาพแค่นั้นน่ะ เครียดเลยโว้ย หงุดหงิด...มันทำไมถึงด่าเราได้นะ

มีทั้งเราทั้งเขาในอดีต มีทั้งเราในอนาคต มีทั้งเขาในอนาคต มีทั้งเวทนาในอดีต มีทั้งเวทนาของเขาในอดีต อยู่อย่างงั้นน่ะ หงุดหงิด รำคาญ หรือบางทีดีใจ หรือว่านั่งอมยิ้มอยู่อย่างนั้นน่ะ

เหมือนคนบ้ามั้ยนั่น มันเออเร่อๆๆ มั่วไปหมดนั่นน่ะ อันไหนจริงอันไหนเท็จ กูไม่รู้เลย ...เหมือนคนบ้า เหมือนคนเมาน่ะ ก็บอกแล้วว่ามันเมา...คนเมาเป็นยังไง เดินเป๋ไปเป๋มา เอ๊ย กูไม่เมาอ่ะ ใช่ป่าว

ไปบอกว่ามึงเมา ...เอ๋ย เมาอะไร ...ไอ้คนพูดก็เมา ไอ้คนฟังก็เมา คือมันเมากันทั้งโลกไง ไปบอกว่าเมา มันก็บอกว่าไม่เมา ก็มึงก็เหมือนกันน่ะแหละ เดินก็เซไปเซมา

มีแต่พระอริยะท่านมอง...เออ มึงน่ะเมา กูน่ะไม่เมา ถึงพูดได้ ...แต่คนทั่วไปมันก็เมาทั้งนั้นน่ะ คนเมาคุยกับคนเมา อู้ย สบาย ชวนกันไปลงเหวซะเลย

นี่ล่ะเมาขันธ์ ไม่รู้ขันธ์ตามความเป็นจริง ยังไงก็เมา ...ของไม่มีก็ว่ามี ของจับต้องไม่ได้ มันก็ว่าเที่ยง ของที่ดับไปแล้ว มันก็บอกว่ามีซะหน้าตาเฉยอย่างงั้นน่ะ

มันจะว่าไม่เมาแล้วมันจะว่าบ้ารึเปล่า หรือมันคนดี หรือมีปัญญาสูงส่งล้ำเลิศประเสริฐศรี ...เมากันทั้งโลกน่ะ ไม่ใช่เมาแต่พุทธศาสนา ทุกศาสนา คนในโลกนี่ ท่านว่าสัตว์โลก...เมา

แล้วก็เสกสรรปั้นแต่งกัน ลมๆ แล้งๆ เอาลมมาปั้น ไอ้พวกปั้นน้ำเป็นตัวนี่แหละ มนุษย์นี่แหละตัวปั้นน้ำเป็นตัวเลย  ...ไม่ใช่เจ้าของโรงน้ำแข็งนะ

มันเอาลมๆ แล้งๆ นี่มาปั้นเป็นตัวเป็นตน ไม่ยอมให้มันดับ ไม่ยอมเห็นความดับไปของมัน ไม่ยอมรับความดับไปในตัวของมัน ถูลู่ถูกัง ดันทุรัง

จะดับก็ไม่ให้ดับ เสียดาย อาลัย อาวรณ์ ข้อมูลนั้นก็ดี ข้อมูลนี้ก็ดี จะลบทิ้งก็ "ฮื้อๆ" แล้วก็มีแต่จะ “เธอมีอะไรใหม่ๆ มั้ย ส่งมาหน่อย” ...ต๊อดๆๆๆ ส่งเมสเสจ

มันเสจไปเสจมา ก็หาเศษหาเลยอยู่ตลอด ชอบเก็บข้อมูล แชทๆๆๆ อยู่นั่น ทั้งวี่ทั้งวัน เก็บแต่ข้อมูล เก็บมาทำซากอะไรก็ไม่รู้ จนเครื่องนี่จะพังอยู่แล้ว

เครื่องพังก็บอกว่า เดี๋ยวกูหาฮาร์ดดิสก์ใหม่ เอาแบบหลายกิ๊กกะไบท์นู่น  เอาเท่าไหร่ล่ะ เป็นพันสองพันเลย กูจะได้เก็บ คือเอาความเลิศเลอเพอร์เฟ็คของความรอบรู้ ...อู้หูย มันจะเป็นสัพพัญญู

พระพุทธเจ้าบอก ทิ้งซะๆ ...ไม่ทิ้ง ของดีทั้งนั้น ความรู้ดีๆ ทั้งนั้น ...ก็บอกว่าเหล้า ไม่กินก็ไม่เมา มันจะยี่ห้อไหนล่ะ จะกลั่นมาบ่มมาเท่าไหร่ล่ะ อ่ะๆ ไวน์พันปี ไวน์ใต้สมุทร เอามาตั้ง

ถ้าไม่กินน่ะ ไม่เมานะ ...จะสรรพคุณดีเด่ขนาดไหน โดดเด่นขนาดไหน เลิศเลอเพอร์เฟ็คขนาดไหน เขาไม่เคยเรียกร้องให้เรากินเลย ...แล้วเราก็ไม่ต้องไปเสาะแสวงหาด้วย

เมื่อใดเรายังตามหาอะไรกันอยู่...เมื่อนั้นแหละ เหมือนกับคนเมาเดินหาเหล้าขวดใหม่ หาความเมาแบบใหม่ที่มันเพอร์เฟ็คกว่า ...ไม่จบหรอก

จากเหล้าบ่มพันปี เดี๋ยวมันก็จะหาเหล้าบ่มสักพันหนึ่งร้อยปี  พอมันได้พันหนึ่งร้อยปี มันก็บอกว่าต้องมีพันห้าร้อยปีที่ดีกว่า ...เห็นมั้ย กิเลสตัณหา

พระพุทธเจ้าท่านเปรียบตัณหาว่า นัตถิ ตัณหา สมานที แม่น้ำเสมอด้วยตัณหาน่ะไม่มี ...เหมือนเนี่ย น้ำท่วมนี่ ถมมันเข้าไป สร้างกระสอบทรายสูงขนาดไหน ไม่มีพอน้ำหรอก

ท่านเปรียบตัณหาเหมือนแม่น้ำ ความอยาก ไม่รู้จักหยุดหรอก มันไปเรื่อย ได้ห้าเอาสิบ ได้สิบเอาสิบบวกอีกหนึ่ง ได้สิบบวกอีกหนึ่ง มันก็จะบวกอีกหนึ่งๆๆ ไปอยู่ตลอด

พระพุทธเจ้าถึงบอก หยุดซะ หยุด ต้องหยุด หยุด...นั่นแหละคือสมาธิ ต้องหยุด ...แล้วคราวนี้ว่า หยุดตรงไหนล่ะเพราะนั้นถ้าเบื้องต้นของนักภาวนา มันมีที่ให้หยุดหลายที่ หลายสถานี

พุทโธก็หยุดได้ ลมหายใจก็หยุดได้ การพิจารณาในแง่ธรรมบทธรรมใดบทธรรมหนึ่งก็หยุดได้ ...นี่เป็นสถานีหยุด แต่ยังไม่ใช่สถานีหลัก ...ถ้าให้เข้าหลักจริงๆ ท่านให้หยุดอยู่ที่ใจ นี่ หยุดอยู่ที่ใจ 


(มีการหยุดช่วงที่พระอาจารย์ลุกขึ้นพาสุนัขแก่และป่วยที่นอนอยู่ไปถ่ายปัสสาวะ ก่อนจะกลับมาสอนต่อ)

นี่ เดี๋ยวก็เป็นอย่างนี้ แต่ละคน ความแก่ ความชรา ความเสื่อมไปของสังขาร ...มันเป็นสิ่งที่หนีไม่พ้นหรอก ถือว่าเป็นธรรมตามความเป็นจริง

ให้รู้ว่าร่างกายนี่มันเป็นทุกข์ ...ตอนนี้เราอยู่กับมันนี่ ไม่เห็นไม่รู้สึกว่ามันเป็นทุกข์ตรงไหน ...เพราะนั้นถ้าลืมว่ามันเป็นทุกข์ หรือไม่เห็นว่ามันเป็นทุกข์ นั่งสมาธิมากๆ

ไม่ใช่นั่งเพื่ออะไรหรอก นั่งให้เห็นว่ามันเมื่อย นั่งให้มันปวด สักชั่วโมงสองชั่วโมง ...จะได้รู้ว่า หูย มันทุกข์จริงๆ มันเป็นก้อนทุกข์แท้ๆ เลยนี่

ถ้าอยู่อย่างนี้ เดินไปเดินมา เปลี่ยนอิริยาบถ...อิริยาบถนี่ มันจะเป็นตัวปิดบังทุกข์ ...การที่เขาให้สามารถควบคุมกายสังขารได้ ยืนเดินนั่งนอนนี่ เพื่อบริหารทุกข์ในกาย ไม่ให้มันกำเริบ

เพราะนั้นให้สังเกตดู ถ้าเราอยู่ในอิริยาบถใดอิริยาบถหนึ่งโดยไม่เปลี่ยนแปลงเลยนี่ สภาพที่ทนไม่ได้ของขันธ์นี่ ของรูปขันธ์กายนี่ มันจะแสดงอาการเป็นทุกขเวทนาให้เห็นโดยทันที

แต่เมื่อใดที่เรายืนเดินนั่งนอนเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่เสมอนี่ ...มันเลยทำให้รู้สึกว่ากายนี้ไม่เป็นทุกข์ มันเลยไม่ค่อยเห็นทุกข์ มันเลยกลายเป็นประมาทไปเสีย ลืมไปเลยว่ากายนี้เป็นก้อนทุกข์กองทุกข์

เพราะนั้น ถ้ามันลืม...นั่งขัดสมาธิเพชรซะ วันละสองชั่วโมง จะได้รู้จักว่า...เออ มันไม่ใช่ของดีเว้ย ก้อนนี้ ทุกข์จริงๆ ...นี่ ไม่ได้เอาชนะอะไรมันหรอก 

เอาให้เห็นว่ามันเป็นทุกข์ ...เวลามันทุกข์มากๆ ให้เห็นเลยว่า มันไม่ใช่ของน่าอยู่น่าใคร่เท่าไหร่หรอก มันไม่ใช่ของดีของเด่อะไรหรอกกายอันนี้

มันมีแต่ต้องอยู่กับมันด้วยการต้องบริหารทุกข์กับมันเสมอ ไม่อย่างนั้นน่ะ มันก็จะแสดงอาการกำเริบขึ้นมา ...เพราะนั้นอย่าไปหลงดีใจได้ปลื้มกับมัน อย่าไปตายใจกับมัน


(ต่อแทร็ก 5/33)




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น