วันอาทิตย์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2560

แทร็ก 5/34 (1)


พระอาจารย์
5/34 (541129E)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
29  พฤศจิกายน 2554
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ  :  แทร็กนี้แบ่งการโพสต์เป็น  2  ช่วงบทความ)

พระอาจารย์ –  เวลาหลวงปู่ท่านสอนเราเรื่องดวงจิตผู้รู้ ท่านเรียกเราไปบอก...เห็นมั้ย เห็นภาพนี้มั้ย  ท่านบอก เห็นภาพนี้มั้ย อะไรมันเห็น ลูกตาท่านใช่มั้ยเห็น

นี่ ท่านบอกเรา ดวงจิตผู้รู้นี่ ให้ท่านเอาดวงจิตผู้รู้นี่เหมือนลูกตาเห็นรูปนี้ แล้วท่านไม่ต้องไปดูรูป ท่านดูที่ลูกตาน่ะ  ...นี่สอนแบบโง่ๆ ให้เลย เรียกมาบอก เพราะเรามัวแต่ไปวิ่งหานั่นน่ะ

เพราะนั้น รูปมันจะเป็นยังไงก็ได้ เป็นรูปนี้ก็ได้ เป็นรูปนั้นก็ได้ เป็นรูปหมาก็ได้...แต่ตามีลูกเดียว คนเห็นมีคนเดียว ...นี่ท่านเปรียบเทียบ

แต่พวกเรามันชอบตื่นเต้น ตกใจ ดีใจ เสียใจ กับรูปที่ปรากฏ แล้วก็เตลิดออกไป ...นี่เขาเรียกว่าไม่มีสมาธิ ไม่ตั้งมั่นอยู่ที่ใจ ...ใจมันก็โลเลๆ ปลิว เหมือนมดตะนอยน่ะ อื๋อ มดตะนอยใหญ่ไปมดง่ามมั้ง

รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ในโลกนี้คือกระแสลมที่รุนแรง ...ถ้าออกไปนิดหนึ่งน่ะปลิว ใจนี่ปลิวแล้ว ถูกคลุมมิดไปเลย โดนกลบ...ผัสสะในโลก อารมณ์ในโลกนี่ กลบใจหมดน่ะ

มันต้องอาศัยความเพียร พากเพียร ขยัน รู้นิดรู้หน่อย...รู้เข้าไป ...ไม่ต้องซีเรียสจริงจังมากจนเพ่งเคร่งเครียดหรอก แต่ว่าให้รู้บ่อยๆ เป็นนิสัยน่ะ

สร้างนิสัยรู้เห็นๆ เดี๋ยวนี้ๆๆ รู้ที่นี่ รู้ตรงนี้ๆ ...รู้ที่นี่แหละ ไม่ต้องไปรู้ไกลรู้มากรู้มายอะไรน่ะ  รู้ตรงนี้ อะไรก็ได้ รู้มันเข้าไป เห็นก็รู้ นั่งก็รู้ ยืนก็รู้ ได้ยินก็รู้ 

ให้มันตั้งมั่นขึ้นมา มันไม่ไปไหนหรอกปัญญา...อยู่ตรงนั้นแหละ อยู่ตรงรู้นั่นแหละ เดี๋ยวมันก็เห็นเองน่ะ ...เห็นอะไร ...เออ เห็นของเกิดดับ

ไม่ได้เห็นอะไรหรอก ...เห็นแต่ของเกิดดับ เห็นแต่ของไปๆ มาๆ เห็นแต่ของที่ไม่มีชีวิตแล่นผ่านไปผ่านมา โลดแล่นไปมา ควบคุมไม่ได้ ...นี่มันเห็นแค่นั้นเอง

ขอให้ตั้งอยู่ที่ใจผู้รู้ ใจผู้เห็น มันก็จะชัดเจนในมรรค มันจะเห็นหนทางชัดเจนในตัวของมันเองนั่นแหละ ...มันไม่สงสัยหรอกว่า ที่ทำอยู่นี่ จะได้อะไร จะเป็นอะไร จะเพื่ออะไร มันเข้าใจ

ใครมาบอก ใครมาแซะ ใครมาพูดอะไร งั้นๆ น่ะ  ใครว่าโง่ ใครว่าไม่ใช่ ใครว่าไม่ถูก...ก็งั้นๆ น่ะ ...มันดับตรงนี้เลย มันดับตรงหู มันไม่สนน่ะ มันอยู่ตรงนี้ แล้วมันก็ดับตรงนี้ เห็นตรงนี้ดับ

แล้วก็ความดับไปก็ไม่มีหน้าตาของคนพูด ไม่มีของใคร มีแต่เสียงที่เกิดแล้วก็ดับ ไม่เห็นมีเรื่องราวใดๆ ทั้งสิ้น ...มันดับ ณ ที่เกิด หรือพูดง่ายๆ มันเกิดตรงไหนมันดับตรงนั้นแล้ว

นี่ มันเห็นตั้งแต่นั้นเลยนี่ มันไม่มาตามหลอกตามหลอนมาเป็นผี...ผีอดีต ผีอนาคต ผีกิเลสคนอื่น มาล่อหลอกล่องลอยอยู่จนนอนไม่หลับ มันผีหลอกน่ะ 

นี่ โดนผีหลอกทั้งวัน กิเลสเป็นผี ถูกผีหลอก...กลัว เกิดตกใจ ดีใจ เสียใจ...ผีทั้งนั้น ตามหลอกตามหลอนถ้าอยู่ตรงนี้ ไม่โดนหลอก มันก็เกิดตรงไหนตายตรงนั้น

เกิดตรงไหน...เกิดที่ตาดับที่ตา เกิดที่หูดับที่หู เกิดที่จมูกดับที่จมูก เกิดที่ใจดับที่ใจ เกิดที่จิตดับที่จิต เกิดที่ความรู้สึกดับที่ความรู้สึกนั้นๆ  เกิดที่สุขก็ดับตรงที่สุข เกิดที่ทุกข์ก็ดับตรงที่ทุกข์เกิดน่ะ

ไม่เห็นมันจะมีอะไรมากกว่านั้นเลย มันปิดกล่องปิดหีบอยู่ขณะปัจจุบันทุกขณะนั้นน่ะ ...สบาย จะไปก็สบาย จะไม่ไปก็สบายดี  จะอยู่ก็ดี จะไปก็ดี จะเป็นสุขก็ดี จะเป็นทุกข์ก็ดี

มันเหมือนกันหมดน่ะ...อยู่ตรงไหนก็เหมือนกันหมด อยู่กับคนไหนก็เหมือนกันหมด ไม่เลือกว่าอะไรดีอะไรเลว ไม่เลือกว่าอะไรควร อะไรไม่ควร  ไม่เลือกว่าอะไรถูก ไม่เลือกว่าอะไรผิด ...ดับหมด

มันเห็นอย่างนั้น มันทันเห็นอย่างนั้น ...ใจมันตั้งอยู่ไง เพราะใจที่มันตั้งรู้ตั้งเห็นอยู่ภายใน ดวงจิตผู้รู้นี่ ผู้รู้อยู่ ...ไม่ใช่รู้ไป ไม่ใช่รู้ไปเรื่อย รู้ไปไม่จบไม่สิ้น ....รู้อยู่นี่นะ ที่นี้ที่เดียว "นี้ๆ"

นี้คือนี้...ตัตถะ ตัตถะ วิปัสสติ ...โย ปัจจุปันนัญจะ โย ธัมมัง ตัตถะ ตัตถะ ...มันต้องอยู่ตัตถะ...นี้ ที่นี่ ที่เดียว ไม่มีหลายที่อ่ะ ...ไอ้หลายที่นั่นจิต จิตไป..ใจอยู่ จิตเกิดจิตดับ ใจไม่เกิดใจไม่ดับ

เห็นมั้ย มันต่างกันนะ อย่าไปตามจิตท่านถึงเรียกว่าดูจิต ท่านถึงเรียกว่าเห็นจิต ...ที่จริงพูดว่าดู เดี๋ยวมันก็ส่งไปดูอีก เอาเป็นว่านั่งดูนั่งเห็น...เห็นจิต

เห็นจิต...นี่มันจะมาแนบกับใจหน่อย  ถ้าดูจิตน่ะมันจะเคลื่อนออกไปนอกใจนิดนึง ...แล้วพอเคลื่อนไปเคลื่อนมา มันไปโตย ขอไปโตย...อ้อ รถเมล์คันนี้เขียนว่านิพพาน เออ กูขอไปโตย

นี่ จิตมันจะหลอก แล้วไม่ค่อยเท่าทันมันนะ เพราะมันจะมาหลอกไอ้ตอนที่..คือไปหมายมั่นเอาไว้กับ อาการนั้น เวทนานั้น สภาวะนั้น สภาวะนี้

เล่ห์เหลี่ยมของขันธ์น่ะ มันก็จะปรุงมาไอ้ตรงที่เราติดมันน่ะ ตรงไหนติดน่ะกูยิ่งปรุง อันไหนที่ค้นแล้วอยากได้น่ะมันจะมา ...มาแล้วก็เหมือนหมางับกระดูก งับพั้บ

คือเล็งมาตั้งแต่ร้านขายนั่นแล้ว นั่งรถผ่านเมืองมาก็เห็นร้านขายกระดูกอยู่ คือยังไม่ทันได้  พอเจ้านายเอามา โหย ตอนไหนก็ไม่รู้ พอวางปั๊บ พั้บ กระโดดงับเลย ...หมางับกระดูก

เหมือนนักปฏิบัติภาวนากระโดดงับขันธ์ตัวเองน่ะ เคยเห็นหมางับหางตัวเองมั้ย เหมือนกันๆ แง็บๆๆๆ ...นั่นแหละ ใจที่มันกระโดดงับขันธ์ตัวเอง เหมือนหมางับหาง หมางับกระดูก

แล้วก็ทุกข์...เพราะกินไม่อิ่ม หิวอีก ...พอทุกข์ปุ๊บก็กลายเป็นหมาขี้เรื้อนเลย เพราะหมาขี้เรื้อนนี่มันคัน มันคันมันก็เกา นั่งก็เกา ฮื้อ ไม่หายคัน ยืนเกาอีก ฮื้อ ไม่หายคัน

เดินไปเกาไปๆ มันก็ยังคัน ฮื้อ เปลี่ยนที่นอนดีกว่า ฮึ ก็ยังคัน เปลี่ยนท่า หันหัวหันหาง หมุนไปหมุนมา สามรอบสี่รอบสี่ตลบ เห็นหมามันวนมั้ย แล้วก็คัน

ในใจมันนึก ที่นี้ไม่ดี ท่านี้ไม่ดี เป็นเหตุให้เกิดการคัน ต้องเปลี่ยนที่...นักภาวนาหมาๆ ...ไม่ได้ว่าใคร เปรียบเทียบๆ ...นี่ บางครั้งก็เป็นหมาขี้เรื้อนบ้าง บางครั้งก็เป็นหมาหวงก้างบ้าง

บางครั้งก็เป็นหมาหิว หมาคาบเนื้อที่ผ่านแม่น้ำ แล้วก็เห็นเงาของเนื้อในน้ำบ้าง ...อู้ย หมาทั้งนั้นน่ะ ภาวนาหมาๆ มันก็มีชีวิตอยู่แบบหมาหิวโซข้างถนน ไม่รู้จักอิ่มไม่รู้จักออก

ใครได้เนื้อมาก้อนนึงก็เอามาโชว์แล้ว เดินนี่วางก้าม หน้าคอนี่ตั้ง ได้เนื้อก้อนใหญ่ แล้วไอ้หมาตัวนั้นก็เดินกลับบ้าน เจอแม่น้ำแล้วก็เห็นว่า ฮื้ย เนื้อข้างล่างดีกว่า ใหญ่กว่า ก็ทิ้งเนื้อในปาก...อ้าว หายอีกแล้ว 

นี่ ภาวนาหมาๆ ...ก็ต้องกลับมาภาวนาแบบสุนัขไม่รับประทาน หมาไม่แดก ...คือไม่หาอะไรแดก ไม่แดกอะไร หิวนะๆ อดโซเลยนะ เอาจนหมาแก่ตายน่ะ 

หมาแก่ตายไป คือจิต ...เอาจนจิตตายน่ะ เอาจิตจนไม่เกิดอีกเลยน่ะ เอาจนจิตดวงนั้นแหละหยุดสิ้นซึ่งความปรุงแต่งใดๆ ทั้งปวง นั่นน่ะหมาตายแล้ว

ตายแล้วสบาย ...กลับคืนสู่ธรรมชาติของใจ ธาตุแท้ของใจ ไม่มีที่ให้เกิด ไม่มีที่ให้ตาย หมามันจะมายังไง หมาก็อยู่ไม่ได้ ตั้งอยู่ไม่ได้ หือ

อะไรก็ตั้งอยู่ไม่ได้ มันพรวดๆๆ หมดเลย ถึงบอกว่าเหมือนแมลงวันตอมกับแก้วเจียระไนน่ะ ที่มันลื่นเกลี้ยงเกลาอยู่อย่างนั้น ไม่มีอะไรเกาะจับติดได้ ไม่มีอะไรตั้งอยู่ได้

นั่นแหละความหมายของใจบริสุทธิ์ ...ไม่ต้องถามหาที่เกิดแล้ว ไม่ต้องถามว่าอะไรจะมาเกิดได้แล้ว...ตั้งไม่ได้

อย่าว่าแต่หมาเลย เทพอินทร์พรหมยังเป็นไม่ได้เลย ยังจะมาตั้งอยู่ สิงสู่ไม่ได้เลย ในรูปขันธ์นามขันธ์ใดๆ ก็ตาม จะละเอียดสุดละเอียดสุดประณีตขนาดไหนก็ตาม

ธรรมชาติของใจแท้ใจเดิมจิตเดิมประภัสสรนั่นแหละ มีแต่จิตพระอรหันต์ จิตพระพุทธเจ้าเท่านั้นน่ะ ถึงจะคืนสู่สภาพเดิมนั้น

รู้ไป..ชำระไป รู้ไป..ถอดถอนไป รู้ไป..ปล่อยไป รู้ไป..วางไป  ..ไม่ใช่รู้ไป..เอาไป รู้ไป..หาไปนะ ...ยิ่งมียิ่งเห็น...ยิ่งปล่อย ยิ่งเห็นความยึดความถือความมั่นตรงไหน..ยิ่งปล่อย

ไม่ใช่โคตรพ่อโคตรแม่เรา ไม่ใช่ญาติโกโหติกาของเรา ...ใจไม่เคยนับญาติใคร ไม่มีใครเป็นญาติมัน ทิ้งอย่างเดียว วางอย่างเดียว วางมันลงไป อย่าไปกลัวอด อย่าไปกลัวจน

ยิ่งทิ้งยิ่งรวย รวยธรรม รวยความรู้ความเห็นในธรรม ...ทิ้งให้หมด ละให้หมด เอาให้เกลี้ยง เอาให้หมด เอาให้สิ้น จนไม่เหลืออะไรให้ทิ้งน่ะ  เอาให้ไว อย่าช้า อย่าไปเก็บอะไรไว้

มันเก็บอะไรได้ที่ไหน เก็บไม่ได้หรอก ทิ้งเลย อย่าไปวนเวียนซ้ำซากอยู่กับมัน ...เอาเหลือแต่ใจดวงเดียวบริสุทธิ์ ใจเป็นหนึ่ง ใจเป็นเอกอยู่อย่างนั้นน่ะ 

จึงจะรอด จึงจะไม่มาน้ำตาไหล ไม่มาน้ำตาเช็ดหัวเข่าอีกต่อไป ...อย่าภาวนาแบบยาจก อย่าไปขี้ขอ ...ภาวนาแบบเศรษฐี มีแต่ให้ มีแต่แจก มีแต่ทาน มีแต่เสียสละ

ใจมันใหญ่ขนาดทิ้งได้หมดน่ะ เพราะมันไม่เอาอะไรไปไว้เลย นั่นน่ะคือปรมัตถ์ ...ไม่ใช่ภาวนายาจกขี้ขอ ไม่อิ่ม ไม่เต็ม ไม่รู้จักพอ ไม่รู้จักหยุด ไม่รู้จักยั้ง

ภาวนาท่านให้ละ เห็นอะไรก็ละอันนั้นแหละ รู้อะไรก็ละสิ่งนั้นแหละ อย่าไปถืออย่าไปครองอะไร ...ถ้ามันยังไม่ยอมละ ถ้ามันยังเสียดายน่ะ อาลัยอาวรณ์ ให้สังเกตดูตรงที่มันดับไป

แล้วเห็นว่า มันเอาคืนได้ไหม น้อมให้เห็นว่ามันเอาคืนได้มั้ย เวลานั่ง แล้วลุก ให้เห็นว่าไอ้รูปที่นั่ง ความรู้สึกที่นั่งเมื่อกี้น่ะ มันเอาคืนได้มั้ย มันหายไปแล้วเอาคืนได้มั้ย

เนี่ย ให้มันเห็นความดับไป สิ้นไป หายไป หมดไป ในปัจจุบันขณะนั้นๆ บ่อยๆ ใจมันจะละซึ่งความเสียดายตายอยาก ...นั่งอยู่ในรถ ออกมาจากรถนี่ ความรู้สึกในรถนี่ เอาคืนได้มั้ย 

เห็นมั้ยว่ามันดับไป มันไปไหน หายไปไหน  มันสิ้นไปมั้ย มันหมดไปมั้ย มันเอาคืนได้มั้ย มันสูญไปมั้ย ...จะเสียดายขนาดไหน จะเรียกร้องขนาดไหน จะอ้อนวอนขนาดไหน ความรู้สึกนั้นไม่มีทางได้คืนมา 

การที่ใจเห็นไตรลักษณ์หรือความดับไป สูญไป สิ้นไปในปัจจุบันบ่อยๆ นี่ ...มันจะเข้าไปทำลายกิเลสความหวงแหน อาลัย เสียดายในขันธ์

ซึ่งมันจะรวมหมดทั้งวัตถุข้าวของ ทรัพย์สินเงินทอง ฐานันดรต่างๆ สภาวะสถานภาพ ความเป็นหญิง ความเป็นชาย ความเป็นสัตว์ ความเป็นบุคคล ...ทุกอย่างที่มันเข้าไปถือครองได้

มันก็จะเห็นว่า แม้แต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ ลุกขึ้นมาตรงนี้ มันยังครอบครองไม่ได้เลย ...อย่าว่าแต่เอาบ้านมาเป็นสรณะเลย อย่าว่าแต่เอารถมาเป็นที่พึ่ง เอางานการมาเป็นที่พึ่งที่อาศัยเลย

แค่นั่งแล้วลุก ไอ้ความรู้สึกที่นั่งเมื่อกี้นี้ ยังครอบครองไม่ได้เลย ...มันจะเก่งกาจอะไรนักหนา หือ มนุษย์น่ะ ไอ้นั่นก็ของกู ไอ้นี่ก็ของเรา เป็นเจ้าของตีตราจองหมดน่ะ

ดูสิ ให้มันเห็นลงไปตรงนี้ มันยังเอาคืนไม่ได้ ยังครอบครองไม่ได้ มันแน่ไม่จริงนี่หว่า ...ถ้าแน่ไม่จริงนี่ทิ้งซะ ทิ้งความโง่เขลาเบาปัญญานั้นซะ ทิ้งความเห็นผิดๆ ไป

เมื่อมันเห็นถูกแล้วมันจึงจะทิ้งความผิด ...ไม่ใช่อยู่ดีๆ ไปทิ้งความผิดเอาดื้อๆ น่ะ ไม่ได้นะ มันไม่เชื่อหรอก มันเชื่อเพราะมันเห็นว่ามันเอาคืนไม่ได้จริงๆ ใจมันจึงจะยอม

จะเห็นอนัตตาต่อเมื่อเห็นอัตตา ...เมื่อเห็นอัตตาหรือปัจจุบันธรรมนั้นปรากฏ ก็จะเห็นเองแหละว่าอัตตานั้นดำรงได้แค่ชั่วคราวแล้วก็ดับ ความเป็นอนัตตาก็บังเกิดขึ้น


(ต่อแทร็ก 5/34  ช่วง 2)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น